ผ้าอาบน้ำฝน

ผ้าอาบน้ำฝน

อีกหนึ่งบทความที่น่าสนใจที่ให้ความรู้เรื่อง ผ้าอาบน้ำฝน

ความเป็นมาของการถวายผ้าอาบน้ำฝน
โดยปกตินางวิสาขา จะกราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์มาเสวยและฉันภัตตาหารที่บ้านของนางเป็นประจำ เมื่อการจัดเตรียมภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยพร้อมแล้ว ก็จะให้สาวใช้ไปกราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ให้เสด็จไปยังบ้านของนาง

วันหนึ่งสาวใช้ได้มาตามปกติเหมือนทุกวัน แต่วันนั้นมีฝนตกลงมาพระสงฆ์ทั้งหลาย จึงพากันเปลือยกายอาบน้ำฝน เมื่อสาวใช้มาเห็นเข้าก็ตกใจเพราะความที่ตนมีปัญญาน้อยคิดว่าเป็น นักบวชชีเปลือย จึงรีบกลับไปแจ้งแก่นางวิสาขาว่า”ข้าแต่แม่เจ้า วันนี้ที่วัดไม่มีพระอยู่เลย เห็นมีแต่ชีเปลือยแก้ผ้าอาบน้ำ กันอยู่”

นางวิสาขาได้ฟังคำบอกเล่าของสาวใช้แล้ว ด้วยความที่นางเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน เป็นมหาอุบาสิกา เป็นผู้มีปัญญาศรัทธาเลื่อมใส มีความใกล้ชิดกับพระภิกษุสงฆ์ จึงทราบเหตุการณ์โดยตลอดว่า พระบรมศาสดาทรงอนุญาตให้พระภิกษุมีผ้าสำหรับใช้สอยเพียง 3 ผืน คือ ผ้าจีวรสำหรับห่ม ผ้าสังฆาฎิสำหรับห่มซ้อน และผ้าสบงสำหรับนุ่ง ดังนั้น เมื่อเวลาพระภิกษุจะอาบน้ำจึงไม่มีผ้าสำหรับผลัดอาบน้ำ ก็จำเป็นต้องเปลือยกายอาบน้ำ

นางวิสาขา จึงอาศัยเหตุนี้ เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาประทับที่บ้าน และเสร็จภัตกิจแล้ว นางวิสาขาจึงได้เข้าไปกราบทูลขอพร เพื่อถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่พระภิกษุสงฆ์ พระพุทธองค์ประทานอนุญาต ตามที่ขอนั้น และนางวิสาขาก็เป็นบุคคลแรกที่ได้ถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่พระภิกษุสงฆ์

ความหมายของ ผ้าอาบน้ำฝน
ผ้าอาบน้ำฝน เป็นของใช้จำเป็นอย่างหนึ่งสำหรับพระสงฆ์ ซึ่งคนไทยตั้งแต่อดีตมักนำไปถวายพระในเทศกาลเข้าพรรษา บางคนเรียกว่า ผ้าจำนำพรรษา กล่าวคือ เป็นผ้าที่ถวายกันประจำในเทศกาลเข้าพรรษา บางคนก็เรียกสั้นๆ ว่า ผ้าอาบ หรือถ้าเรียกเป็นศัพท์บาลีตามพระพุทธวินัยบาลี จะเรียกว่า ผ้าอุทก หรือ ผ้าอุทกสาฎก แต่ทั้งหมดนี้แปลอย่างง่ายๆ ว่า ผ้าสำหรับนุ่งไป

ผ้าอาบน้ำฝน เป็นของใช้จำเป็นอย่างหนึ่งสำหรับพระสงฆ์ ซึ่งคนไทยตั้งแต่อดีตมักนำไปถวายพระในเทศกาลเข้าพรรษาบางคนเรียกว่า ผ้าจำนำพรรษา กล่าวคือ เป็นผ้าที่ถวายกันประจำในเทศกาลเข้าพรรษา บางคนอาจจะเรียกสั้นๆ ว่า ผ้าอาบ หรือถ้าเรียกเป็นศัพท์บาลีตามพระพุทธวินัยบาลี จะเรียกว่า ผ้าอุทก หรือ ผ้าอุทกสาฎก แต่ทั้งหมดนี้แปลอย่างง่ายๆ ว่า ผ้าสำหรับนุ่งไปอาบน้ำ

พระสงฆ์เถรวาทมีผ้าสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น 7 ชิ้น เมื่อนำผ้าทั้งหมดมาตัดเย็บเสร็จจะเรียกว่า ผ้าไตร ซึ่งในผ้า 7 ชิ้นนี้มี ผ้าสบง หรือผ้านุ่ง เนื่องจากพระสงฆ์ไม่สามารถสวมกางเกง แล้วก็มีผ้าเอาไว้นุ่งไปอาบน้ำที่เรียกว่า ผ้าอาบน้ำ ซึ่งมีหน้าตาเหมือนสบงแบบหนึ่ง

ผ้าไตรจีวร ซึ่งผ้าขนาดยาวใช้เป็นผ้าห่มคลุมด้านนอก ผ้าสังฆาฏิ คือผ้าที่ใช้พาดบ่า รัดประคต เป็นเส้นเชือกเหมือนเข็มขัด ใช้สำหรับรัดเวลานุ่งสบง อังสะ คือผ้าที่ตัดเย็บเป็นเสื้อตัวยาว สำหรับใช้ทำงานบ้านกวาดลานวัด สุดท้ายคือ ผ้ากราบ ใช้เวลารับประเคนของจากสตรี

กล่าวอย่างง่ายๆ ผ้าอาบน้ำก็คือผ้าสำหรับพลัดเวลาอาบน้ำ ซึ่งในสมัยพุทธกาลนั้น ผ้าอาบเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพราะในพระวินัยบัญญัติกล่าวว่า มีผู้ไปเห็นพระภิกษุอาบน้ำตามแม่น้ำลำธารแล้วไม่นุ่งผ้า จึงไปติเตียนพระพุทธองค์ เลยมีพุทธบัญญัติว่าเวลาพระสงฆ์อาบน้ำให้นุ่งผ้าด้วย

ปัจจุบันนี้ ผ้าอาบน้ำฝนนั้นมีความจำเป็นน้อยลงอย่างมาก เนื่องจากไม่จำเป็นต้องสรงน้ำในที่โล่งแจ้งแล้ว เนื่องจากในสังคมปัจจุบันได้มีห้องน้ำเป็นสัดส่วนเรียบร้อย โดยการถวายผ้าอาบน้ำฝนกลายเป็นเรื่องการถวายในพอเป็นพิธีตามที่เคยเป็นประเพณีมา ซึ่งร้านสังฆภัณฑ์บางแห่ง ยังคงจัดจำหน่ายผ้าอาบน้ำฝนในชุดถวายพระในวันเข้าพรรษา แต่เป็นผ้าขนาดเล็กนำมาพับเป็นรูปกระทงสำหรับใส่ปัจจัยถวายอื่นๆ เพื่อความสวยงาม แต่ไม่ได้คำนึงถึงการใช้งานจริง

ดังนั้น ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่จึงไม่นิยมถวายเป็นผ้าอาบแล้ว แต่จะถวายผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดตัวแทนการถวายผ้าอาบน้ำฝน เพื่อให้ทางพระภิษุกสงฆ์ได้ใช้ประโยชน์ในอีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นการปรับเปลี่ยนธรรมเนียมประเพณีไปตามสภาพแวดล้อม ตามยุคสมัย และความจำเป็นที่เปลี่ยนแปลงไป

เครดิต ที่มาจากเพจ

dharayath.com ในบทความเรื่อง ที่มาที่ไป !! ของ “ผ้าอาบน้ำฝน” ฉบับ ธาราญา

(เพิ่มเติม…)

ความเป็นมาผ้ากฐิน โดยหลวงพ่ออินทร์ถวาย

ความเป็นมาผ้ากฐิน โดยหลวงพ่ออินทร์ถวาย

ผ้าป่า ผ้ากฐิน

ปีหนึ่งในวัดแต่ละวัดก็มีผ้าป่ามีกฐิน กฐินสมัยก่อน สมัยครั้งพุทธกาล สมัยครั้งพระพุทธเจ้าท่านเน้นหนักเรื่องผ้า ผ้ากฐิน ผ้านั้นใหญ่ขนาดไหน คือผ้าทำเป็นผ้าสบง ทำเป็นผ้านุ่ง คือผ้าสบง หรือผ้าจีวร หรือสังฆาฏิ ผืนใดผืนหนึ่ง
สบงนั้นใหญ่ขนาดไหน สบงผืนเล็กที่สุด คือผ้านุ่งนี่ใช้ทุกวันก็ใช้ประมาณ ๕ เมตรนะถ้าองค์ใหญ่ แต่ถ้าองค์สูงละก็รู้สึกว่าจะหวุดหวิดไปนะ ถ้าได้ ๖ เมตรจะพอดีสำหรับพระองค์ใหญ่ สำหรับพระฝรั่งหรือสำหรับพระองค์รูปร่างใหญ่ สำหรับผ้าสบงใช้ ๖ เมตร
แต่ผ้าจีวร คือผ้าห่ม อย่างหลวงพ่อกำลังห่มผ้าจีวรอยู่นี้ ถ้าหากว่าเป็นพระธรรมดาก็ประมาณ ๙ เมตรครึ่งหรือ ๑๐ เมตร ถ้า ๑๐ เมตรนี้พอดี ตัดสบายๆ แต่ถ้าหากเป็นพระองค์ใหญ่ก็ประมาณ ๑๑ เมตร ถ้า ๑๑ เมตรนี้พอดี ถ้าใหญ่จริงๆ ก็เกือบ ๑๒ เมตร ต่อ ๑ องค์
ถ้าหากว่าเป็นผ้าสังฆาฏิเป็นผ้า ๒ ชั้น คือผ้าห่มหนาว เหมือนกับผ้าจีวรแต่ทำให้เป็น ๒ ชั้น ใช้ผ้าประมาณสัก ๑๙ – ๒๐ เมตร ประมาณนี้พอดีสำหรับผ้าผืนหนึ่งนี้ตัดสบายๆ สำหรับพระผู้เล็ก ผู้น้อย พระน้อยตัวเตี้ยก็ต่ำลงมา พระใหญ่นี่รุ่นใหญ่ ๒๐ เมตร
นี้ก็คือผ้ากฐินสมัยครั้งพุทธกาลหรือในครั้งนี้ก็เหมือนกัน โดยมากจะเป็นผ้าขาวหรือเป็นผ้าสีก็ได้แต่ยังไม่ได้ตัดนะ ยังไม่ได้ตัดเป็นไตร เอามาแล้วก็เอามาตัดทีหลัง พอตัดแล้วก็มาเย็บในวันนั้น ย้อมในวันนั้น แล้วก็กรานกฐินในวันนั้น คือ ให้เสร็จในวันเดียว อันนี้ก็คือผ้ากฐิน


งานกฐินของหลวงพ่อถ้าจะว่าใหญ่มันก็ใหญ่ ถ้าจะว่าเล็กมันก็เล็ก เพราะเหตุไรจึงเป็นอย่างนั้นเพราะว่าหลวงพ่อก็ไม่ได้มีใบฎีกงฎีกาเชิญอะไร เพียงแต่ประกาศบอกกล่าวเล่าสิบกัน ศรัทธาญาติโยมผู้ที่อยากจะมาร่วมทำบุญกับกฐินของหลวงพ่อปีหนึ่งก็มีครั้งเดียวเท่านั้นละ ผู้ใดอยากจะมาก็มา หลวงพ่อก็ประกาศอย่างนั้นทุกปี แต่ทุกปีที่ผ่านมา ถ้าจะว่าไปแล้วก็มืดฟ้ามัวดินเหมือนกัน คนที่มาในงานนะ มากพอสมควร หลวงพ่อก็ว่ามาก หลวงพ่ออาจจะไปยังไม่เคยเห็นวัดอื่น แต่วัดหลวงตาเปรียบเทียบกันไม่ได้ วัดหลวงตาก็ต้องมากอยู่แล้ว
ทีนี้การที่คนมามากนี้เราจะรับมือยังไง อันนี้ละเป็นเรื่องใหญ่สำหรับวัด จุดประสงค์คือเล็ก แต่การต้อนรับคนมันเป็นเรื่องใหญ่ ผู้มาเกี่ยวข้องจะเลี้ยงยังไง กลางค่ำ กลางคืนมีไฟไหม มีห้องน้ำไหม มีน้ำ มีไฟไหม มีอาหารการบริโภคไหม หลับนอนยังไง ที่พักพาอาศัยทำยังไง นี้ละเป็นเรื่องใหญ่ทีนี้ คือเรื่องต้อนรับขับสู้นี้เป็นเรื่องใหญ่ การเตรียมพร้อมของงานก็ต้องประสานกันหลายหมู่หลายคณะ หลายพรรคหลายพวก ทั้งพี่น้องประชาชนญาติโยมด้วย ทั้งฝ่ายพระด้วย ทั้งผู้อยู่ใกล้ด้วยอยู่ไกลด้วย
อย่างโรงทานนี้ เราก็ต้องได้จดๆ เอาไว้เหมือนกัน เอ้า เลี้ยงแขก เลี้ยงคน เลี้ยงพี่ เลี้ยงน้อง เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานที่มาร่วมงาน ก็คือการทำบุญร่วมกันเลี้ยงอาหารการบริโภค มาทำบุญกับวัดวาศาสนาอย่าให้อด อย่าให้อยาก ให้มีอยู่ มีกิน อันนี้ก็คือเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกๆคนนะ ไม่ว่าระดับไหน การเป็นอยู่มันต้องช่วยๆกันนะ ให้ดูแลกัน พร้อมเพรียงสามัคคีกัน ผู้น้อย ผู้ใหญ่ ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นครูบาอาจารย์ เป็นลูกศิษย์ลูกหา เป็นลูกเป็นเต้า ผู้ที่มาเกี่ยวข้องก็ต้องช่วยๆดูแลกันทุกระดับ

 

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก

จากพระธรรมเทศนา “ความเป็นมาผ้ากฐิน
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๔

ที่มาจาก

https://www.facebook.com/LuangpoInthawaiSantussako/posts/3437680633129653

บทความธรรมะสั้นๆ เรื่อง บุญกฐิน

บทความธรรมะสั้นๆ เรื่อง บุญกฐิน

บุญกฐิน เป็นบุญถวายผ้าไตรจีวรแด่พระสงฆ์ ซึ่งจำพรรษาแล้ว เริ่มตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึง วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นเขตทอดกฐินตามหลักพระวินัย

มูลเหตุมีการทำบุญกฐินซึ่งมีเรื่องเล่าว่า พระภิกษุชาวเมืองปาฐา 30 รูป จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเชตวันมหาวิหาร แต่จวนใกล้กำหนดเข้าพรรษาเสียก่อน จึงหยุดจำพรรษาที่เมืองสาเกต พอออกพรรษาแล้วก็รีบพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทั้ง ๆ ที่ผ้าสบงจีวรเปื้อนเปรอะ เนื่องจากระยะทางไกลและฝน ผ้าสบงจีวรจึงเปียกน้ำและเปื้อนโคลน จะหาผ้าผลัดเปลี่ยนก็ไม่มี พระพุทธเจ้าทรงเห็นความลำบากของพระภิกษุเช่นกัน จึงมีพุทธบัญญัติให้พระภิกษุแสวงหาผ้าและรับผ้ากฐินได้ตามกำหนด

ในการทอดกฐินนั้น มีกฐิน 3 ประเภท
ก. จุลกฐิน (กฐินแล่น) คือ กฐินที่มีการเตรียมและการทอดกฐินเสร็จภายใจ 24 ชั่วโมง
ข. มหากฐิน
ค. กฐินตกค้าง คำว่า “กฐินตกค้าง” คือวัดซึ่งพระสงฆ์จำพรรษาและปวารณาแล้ว ไม่มีใครจองกฐิน

พิธีทำบุญทอดกฐิน เจ้าภาพจะมีการจองวัดและกำหนดวันทอดล่วงหน้า เตรียมผ้าไตร จีวร พร้อมอัฐบริขาร ตลอดบริวารอื่น ๆ และเครื่องไทยทาน ก่อนนำกฐินไปทอดมักมีการคบงัน วันรุ่งขึ้นก็เคลื่อนขบวนไปสู่วัดที่ทอด เมื่อนำองค์กฐินไปถึงวัดจะมีการแห่เวียนประทักษิณรอบวัดหรือรอบพระอุโบสถสามรอบ จึงนำผ้ากฐินและเครื่องประกอบอื่น ๆ ไปถวายพระสงฆ์ที่โบสถ์หรือศาลาการเปรียญ เมื่อทำพิธีถวายผ้ากฐินและบริวารแด่พระสงฆ์ พระสงฆ์ทำพิธีรับแล้วเป็นเสร็จพิธีสามัคคี

ขอขอบคุณที่มาจากเพจ

https://www.m-culture.go.th/roiet/ewt_news.php?nid=1120&filename=index

เชิญร่วมงานกฐินวัดป่าเขาหินตัด อำเภอสีคิ้ว ประจำปี 2565

เชิญร่วมงานกฐินวัดป่าเขาหินตัด อำเภอสีคิ้ว ประจำปี 2565

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพงานกฐินสามัคคี วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2565

ณ วัดป่าเขาหินตัด(สาขาที่ 55 วัดหนองป่าพง) บ้านคลองตะแบก ลาดบัวขาว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา

สมทบทุนสร้างอุโบสถ เวลา 10.00 น.

โทรสอบถาม 081-967-0472

ขออนุโมธนาสาธุครับ

 

แผนที่ทางไปวัด

ธรรมะคำสอน หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

ธรรมะคำสอน หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

“คนเราเมื่อมีเมตตาให้กับผู้อื่น
ผู้อื่นเขาก็จะให้ความเมตตาตอบสนองต่อเรา
ถ้าเราโกรธเขา เขาก็จะโกรธเราตอบเช่นกัน
ความเมตตานี่แหละ คืออาวุธที่จะปกป้องตัวเราเอง
ให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง เป็นอาวุธที่ใครๆ
จะนำเอาไปใช้ก็ได้ จัดว่าเป็นของดีนักแล”
🙏🏻 หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ 🙏🏻
หลวงพ่ออินทร์ถวายร่วมมอบปัจจัยร่วมบำเพ็ญกุศล 38 ครอบครัว

มงคล คืออะไรโดยหลวงพ่ออินทร์ถวาย

มงคล คืออะไร หลวงพ่ออินทร์ถวาย
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าของเราเสด็จประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์ ท่านปรารภเกี่ยวกับ มงคล มงคลอันไหนที่เป็นมงคลของมนุษย์ มีคนหนึ่ง เขามีงานเทศกาล งานปีใหม่ คนเต็มไปมากแต่บุรุษคนนั้นกล่าวขึ้นในที่ที่ชุมชน ที่ประชุมนั้นน่ะ “ขอความเป็นสิริมงคลจงเกิดกับข้าพเจ้าตลอดไป ขอความเป็นสิริมงคลจงเกิดกับข้าพเจ้าตลอดไป” พอพูดเท่านั้น คนนั้นก็หายไป ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูด
คนได้ยิน เอ๊ะ คำว่า สิริมงคล เป็นคำพูดที่ถูกต้อง แล้วก็เป็นสิริมงคลสำหรับตนตลอดไป ก็ถูกต้องอีกเหมือนกัน ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีสิริมงคลในชีวิตของข้าพเจ้าตลอดไป อันนี้เป็นคำพูดที่ฟังดูแล้วถูกต้อง ก็มาถกเถียงกันอันไหนเป็นมงคล ถามกันในชุมชน ถกเถียงกัน อันไหนเป็นมงคล คนหนึ่งว่า ได้เห็นรูปสวยๆ งามๆ ตื่นขึ้นมาแล้วก็เห็นสิ่งที่เจริญตา สวยงาม อันนั้นแหละเป็นมงคล คนหนึ่งก็บอกว่า ไม่น่าจะใช่ เพราะเหตุว่า ตื่นขึ้นมาบางทีก็เห็นเขาหน้าบูดหน้าเบี้ยวใส่ ทำเห็นเขาเบี้ยวปากใส่บ้าง เห็นเขาแสดงอากัปกิริยากับเรา ก็ไม่ใช่ว่าตื่นขึ้นมาแล้วจะเห็นแต่มงคล มันก็เห็นสิ่งที่ไม่เป็นมงคลด้วย สิ่งที่ไม่พึงปรารถนา คำว่า เห็น คำนี้ มันไม่น่าจะถูกต้อง อันนี้ก็มาไล่กันละที่นี้ จนถึง ได้ยินบ้าง ได้สัมผัสบ้าง อะไรต่อมิอะไร ผลที่สุดไม่มีใครที่จะตัดสินใจได้

มงคล คืออะไร

ผลที่สุด เทวดาได้ยินมนุษย์โกลาหลถกเถียงกัน เอ๊ะ คำว่า เป็นมงคลคืออะไร เทวดาสงสัยอีกเหมือนกัน ไปถามกันอีก จนถามกันจนถึงอากาศเทวดา จนถึงชั้นจาตุม ยามา ดุสิตา ดาวดึงส์ ยามา ขึ้นไปเรื่อย จนถึงพรหม ก็ไม่มีใครที่จะแก้ได้ว่า คำว่า สิริมงคลกับตนเองนั้นคืออะไร ผลที่สุดก็ได้พระอินทร์ได้ยินอีกเหมือนกัน โอ้ ไม่ได้หรอก นอกจากพระพุทธเจ้า พระอินทร์จึงลงมาพร้อมกับเทวดาเป็นหมื่นจักรวาล เพราะว่าปัญหานี้เป็นปัญหาที่คาใจของเทวดา คำว่าสิริมงคลกับตนเองนั้นคืออะไร มาถามพระพุทธเจ้าในเวลาเที่ยงคืน พระพุทธองค์ก็เฉลยปัญหาที่เทวดาถาม เทวดาเหล่านั้นก็ได้สำเร็จมรรคสำเร็จผลมากที่สุดในครั้งคราวนั้นที่พระองค์แสดงเรื่อง มงคลนะ
แต่พระพุทธองค์ก็บอกว่า ที่เราแสดงมงคลคืนที่ผ่านมาเนี่ย ยังไม่เป็นน่าอัศจรรย์ ในอดีตชาติของเรา เราเป็นศิษย์ เราเป็นฤาษีอยู่ในป่า เขาถามกันเรื่องมงคล เราก็ได้อธิบายให้เขาฟังในชาตินั้น คนทั้งหลายเข้าใจในมงคลในคราวนั้นมากทีเดียวจนถึงเทวดา คราวนั้นเรายังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นแค่เพียงเสวยชาติเป็นฤาษี เราก็ยังมีความฉลาด ตอบปัญหาเรื่องมงคลให้กับผู้คนทั้งหลายในยุคสมัยนั้น
พระสงฆ์ทั้งหลายก็กราบทูลถามว่า สมัยนั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสเรื่องอะไรหนอ พระเจ้าข้า สมัยเป็นฤาษี พระพุทธองค์บอกว่า ฟัง แล้วพระองค์ก็ได้แสดงมงคล นะ มงคล ๘ ประการ แตกต่างกว่าสมัยที่พระองค์ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ในสมัยเป็นโพธิสัตว์ พระพุทธองค์ยกอันไหนขึ้นก่อน พระพุทธองค์สมัยนั้นยกเรื่องเมตตาขึ้นก่อน พวกเราอยู่ด้วยกันต้องมีเมตตา ถ้าหากว่าบุคคลที่อยู่ด้วยกันที่มีเมตตาต่อกัน มีความเอื้อเฟื้อต่อกัน รู้จักเขารู้จักเรา อย่าเบียดบังอย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกัน โลกทั้งโลกก็จะร่มเย็นเป็นสุข จากนั้นท่านก็บอกว่า ให้รู้จักสัมมาคารวะ ให้รู้จักสูง รู้จักต่ำ รู้จักสิ่งควรไม่ควร เราอยู่ในสถานะไหน ให้รู้จักในสถานะของตนเอง นี่แหละ ท่านก็ไล่ไปอย่างนี้แหละ สรุปแล้วก็คือ มงคล ๘ ประการในสมัยนั้น
พอมาถึงสมัยที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่พระอินทร์มาถามพร้อมกับเทวดา ในคืนวันนั้นที่วัดป่าเชตวันมหาวิหาร พระพุทธองค์ได้ตรัส มงคล ๓๘ ประการ ขึ้นต้นว่า อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานํ จ เสวนา ปูชา จ ปูชนียานํ อันนี้คือพระพุทธองค์ยกบุคคลนะ แต่สมัยเป็นฤาษีนั้น ท่านยกคุณธรรมคือเมตตาขึ้นมาเป็นหลัก แต่มาในครั้งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ ท่านยกบุคคล อเสวนา จ พาลานํ อย่าไปคบคนพาล ให้คบบัณฑิต ให้คบคนดี ให้คบบัณฑิต อย่าไปคบคนพาล อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานํ จ เสวนา ให้คบบัณฑิต ปูชา จ ปูชนียานํ บูชาบุคคลที่ควรบูชา นี่แหละ พระพุทธองค์ก็ไล่เป็นข้อๆ ไปจนถึงมงคล ๓๘
เพราะฉะนั้น ให้พวกเราศึกษามงคล ๓๘ ประการนั้นน่ะมีอะไรบ้าง จนถึงทำจิตใจให้หลุดพ้นจากอาสวะกิเลสในที่สุดนะ ในมงคลของพระพุทธเจ้า เพราะเทวดาที่พระอินทร์ที่เป็นผู้พานำให้เทวบุตรเป็นคนทูลถาม เทวดาทั้งหลายเมื่อได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้สำเร็จมรรคสำเร็จผลมาก ในมงคลสูตรนี้ เพราะฉะนั้น ให้พวกเราศึกษา
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “อะไรคือมงคล”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
ที่มาจากเพจ
https://www.facebook.com/LuangpoInthawaiSantussako/posts/3417812735116443
เชิญร่วมงานเทศกาลกินเจ ประจำปี 2565 ณ วัดพุทธคุณ (วัดจีน) อำเภอสีคิ้ว

เชิญร่วมงานเทศกาลกินเจ ประจำปี 2565 ณ วัดพุทธคุณ (วัดจีน) อำเภอสีคิ้ว

เชิญร่วมถือศีลกินเจ ในเทศกาลกินเจ ประจำปี 2565 ณ วัดพุทธคุณ (วัดจีน) อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา

ร่วมประสานงานโดย คณะกรรมการศาลเจ้าพ่อพระยาสี่เขี้ยวชุดที่ 2

ระหว่าง วันที่ 25 กันยายน ถึง 5 ตุลาคม 2565

มีบริการอาหารเจ ที่วัด มาร่วมถือศีลกินเจและร่วมรับประทานอาหารเจครับ

สาธุครับ

 

แผนที่วัด

งานกฐินสามัคคี วัดกุดเต่างับ อำเภอสีคิ้ว 22 ตุลาคม 2565

งานกฐินสามัคคี วัดกุดเต่างับ อำเภอสีคิ้ว 22 ตุลาคม 2565

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพถวายกฐินสามัคคี วัดกุดเต่างับ ตำบลกุดน้อย อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา

ในวันที่ 22 ตุลาคม 2565 ณ วัดกุดเต่างับ

ขออนุโมธนาสาธุ แชร์ข่าวบอกต่อกันไปด้วยนะครับ

หลวงพ่ออินทร์ถวายร่วมมอบปัจจัยร่วมบำเพ็ญกุศล 38 ครอบครัว

 การภาวนา ทำสมาธิ โดยหลวงพ่ออินทร์ถวาย

หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ไม่ต้องคิดไปในอดีต ไม่ต้องคิดไปในอนาคต ไม่ต้องคิดไปวันพรุ่งนี้มะรืนนี้ ให้จิตใจอยู่ในปัจจุบัน ขณะนี้เดี๋ยวนี้ ดูลมหายใจอยู่ที่ปลายจมูกเท่านั้น
ไม่ต้องคิดถึงอดีตเมื่อวานวันก่อนเรื่องต่างๆ เรื่องอะไรก็ตามไม่ต้องคิด บังคับให้ใจอยู่ในปัจจุบัน ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ เวลานี้ที่ปลายจมูก หายใจเข้ารู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้ว่าหายใจออก มีสติสัมปชัญญะ สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว ให้มีความรู้ตัวอยู่ที่ปลายจมูกเท่านั้น นี่แหละวิธีการปฏิบัติ
นั่งภาวนา ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เอาใจเหลืออด ไม่ใช่ว่าปวดแข้งปวดขาหน่อยหนึ่งแล้วก็บ่นขึ้นมา บอกว่านั่งภาวนาทำไมจึงปวดแข้งปวดขา เวลาเรานั่งอย่างอื่นดูหนัง ดูละคร ดูโทรทัศน์ ดูหนังฟังรำ เรานั่งทนได้เพราะเหตุใด เพราะเราชอบ แต่พอนั่งสมาธิภาวนา นั่งหน่อยเดียวก็ว่าปวดแข้งปวดขาเพราะอะไร เพราะกิเลสในใจของเรามันมาก มันก็เลยออกไปในทางที่ไม่ชอบ เพราะกิเลสกับธรรมมันจะขัดแย้งกันอยู่เสมอ
ขอให้พวกเรามุ่งมั่นมีความตั้งใจ เราต้องบังคับ บังคับตัวเองให้นั่ง พยายามนั่งให้นาน ตั้งนาฬิกาไว้เลยครั้งแรก ๓๐ นาที หรือ ๑ ชั่วโมง ถ้าไม่ถึงกำหนดเราจะไม่ออกจากสมาธิ เราจะบังคับให้อยู่ที่ปลายจมูกเท่านั้น พุทโธ พุทโธ พุทโธ
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “จงมั่นใจในสายหลวงปู่มั่น (วันอาสาฬหบูชา)”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๕

ที่มาจากเพจ

https://www.facebook.com/LuangpoInthawaiSantussako/posts/3354345641463153

Pin It on Pinterest

Share This