โดย admin | ก.ย. 6, 2024 | บทความน่าสนใจ
การทอดกฐิน หรือ ประเพณีทอดกฐิน จะเริ่มถามกันในช่วงใกล้ออกพรรษากันบ่อยครั้งและรวมถึงเร่ิมเห็นป้ายตามริมทางแสดงวันทอดกฐินของแต่ละวัด ทั้งที่ใกล้บ้าน หรือ ทางโซเชี่ยล บทความนี้ได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับการทอดกกฐิน ความหมาย ที่มาและประเภทของกฐิน
ออกพรรษา 2567 ตรงกับวันที่เท่าไหร่ ประวัติและความสำคัญตักบาตรเทโว คลิกอ่านเพิ่มเติม
ประเพณีทอดกฐิน
กฐิน เป็นศัพท์ในพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นชื่อเรียกผ้าไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว สามารถรับมานุ่งห่มได้ โดยคำว่าการทอดกฐิน หรือการกรานกฐิน จัดเป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่งตามพระวินัยบัญญัติเถรวาทที่มีกำหนดเวลา คือพระสงฆ์สามารถกระทำสังฆกรรมนี้ได้นับแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เท่านั้น
(ที่มาข้อมูลกฐิน จาก https://news.trueid.net/detail/vWyxxKGp0ZMe)
ประเพณีกฐิน ในแต่ละปีนั้นจะกำหนดไว้ว่า หลังจากออกพรรษาและภายใน 1 เดือนนับจากออกพรรษา โดยสามารถจัดได้ปีละ 1 ครั้ง และมีพระที่จำพรรษาไม่ขาดในระหว่างพรรษา ไม่ต่ำกว่า 5 รูป
เครดิต https://dharayath.com/
ประเพณีการทอดกฐินที่มาสมัยพุทธกาล
การทอดกฐินหรือการถวายผ้ากฐินเป็นกาลทาน เป็นการถวายทานที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ไว้ในคัมภีร์พระวินัยปิฎก ชื่อมหาวัคค์ เรื่อง กฐินขันธกะ (หมวดว่าด้วยกฐิน) ว่า ครั้งหนึ่งมีภิกษุชาวเมืองปาฐา หรือปาวา จำนวน ๓๐ รูป ที่เดินทางมาด้วยหวังจะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซึ่งประทับอยู่ ณ พระเชตวัน เมืองสาวัตถี พอถึงเมืองสาเกตุอีก ๖ โยชน์จะถึงเมืองสาวัตถีก็ถึงกาลเข้าพรรษา จึงต้องอยู่จำพรรษา ณ เมืองสาเกตุ ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ในระหว่างจำพรรษาอยู่นั้นก็มีความกระวนกระวายในการอยากจะเข้าเฝ้าพระผู้มี พระภาค ครั้นเมื่อออกพรรษา ก็รีบเดินทางไปยังเมืองสาวัตถีเพื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคทันที ทำให้น้ำหรือโคลนตมเปรอะเปื้อนจีวรในระหว่างเดินทาง เมื่อภิกษุเหล่านั้นได้เข้าเฝ้า พระพุทธองค์ ทรงปฏิสันถารด้วยภิกษุเหล่านั้น และทรงทราบถึงความลำบากของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น จึงทรงยกเป็นเหตุมีพระพุทธานุญาตให้กรานกฐิน และโปรดให้เป็นการสงฆ์ คือเป็นสังฆกรรมสำหรับภิกษุทั้งหลายทั่วไป ในระยะเวลาภายหลังวันออกพรรษาแล้วหนึ่งเดือน (ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒)
ผ้ากฐิน ผ้าที่จะทำเป็นผ้ากฐินได้นั้น เป็นผ้าใหม่ก็ได้, ผ้าเทียมใหม่ก็ได้, ผ้าเก่าหรือผ้าบังสุกุลก็ได้ แต่ผ้าเหล่านี้จะต้องมีพอที่จะทำไตรจีวรผืนใดผืนใดผืนหนึ่ง (ผ้าไตรจีวร ของพระสงฆ์มี ๓ ผืน คือ สบง = ผ้านุ่ง, จีวร = ผ้าห่ม, และสังฆาฏิ = ผ้าซ้อนห่ม หรือผ้าพาด) ผ้านี้คือผ้าองค์กฐิน ส่วนสิ่งของอื่นๆ ไม่ใช่องค์กฐิน แต่เป็นบริวารกฐิน บริวารกฐินนี้จะมีมากหรือน้อยก็ได้ไม่มีกำหนด แล้วแต่ตามศรัทธาของผู้ถวาย
กฐิน ตามอรรถกถาฎีกาต่างๆ กล่าวไว้มี ๒ ลักษณะ คือ
๑. จุลกฐิน เป็นกิจกรรมสำคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันทำให้แล้วเสร็จภายในกำหนดวันหนึ่ง นับตั้งแต่การเก็บฝ้าย ปั่นฝ้าย กรอ ทอ ตัด เย็บ ย้อม ทำให้เป็นขันฑ์ ได้ขนาดตามวินัย แล้วทอดถวายให้แล้วเสร็จในวันนั้น
๒. มหากฐิน เป็นการจัดหาผ้ามาเป็นองค์กฐิน พร้อมทั้งเครื่องไทยธรรม บริวารเครื่องกฐินจำนวนมาก ไม่ต้องทำโดยรีบด่วน เพื่อจะได้มีส่วนหาทุนในการบำรุงวัด เช่น การบูรณะซ่อมแซมศาสนสถานภายในวัด
เครดิต https://katin.dra.go.th/history/index
ทอดกฐินมีพิธีกรรมอย่างไรบ้าง
เมื่อพระสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้ว เจ้าภาพ อุ้มผ้ากฐินนั่งหันหน้าตรงต่อพระประธาน ตั้งนะโม 3 จบ แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์ กล่าวคำถวายผ้ากฐิน 3 จบ ถ้าเป็นกฐินสามัคคีก็มักเอาด้วยสายสิญจน์โยงผ้ากฐิน เมื่อจับได้ทั่วถึงกัน แล้วหัวหน้านำว่าคำถวาย ครั้นจบแล้ว พระสงฆ์รับว่า สาธุ เจ้าภาพก็ประเคนผ้าไตรกฐินแก่ภิกษุผู้เถระ ครั้นแล้วประเคนเครื่องบริขารอื่น ๆ เสร็จแล้ว พระสงฆ์ก็ทำพิธีมอบผ้าให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นพระเถระ มีจีวรเก่า รู้ธรรมวินัย ครั้นเสร็จแล้ว พระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพกรวดน้ำรับพร ก็เป็นอันเสร็จพิธีการทอดกฐินเพียงนี้
คำถวายผ้ากฐิน
” อิมัง มะยัง ภันเต, สะปะริวารัง, กะฐินะจีวะระทุสสัง, สังสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, สังโฆ, อิมัง สะปะริวารัง, กะฐินะทุสสัง, ปะฏิคคัณหาตุ, ปะฏิคคะเหตตะวาจะ, อิมินา ทุสเสนะ กะฐินัง, อัตถะระตุ, อัมหากัง ฑีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ นิพพานายะจะ ฯ ”
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้ากฐินจีวร กับทั้งบริวารนี้ แด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับผ้ากฐินกับทั้งบริวารนี้ ของ ข้าพเจ้าทั้งหลาย และ เมื่อรับแล้วขอจงกรานใช้ กฐิน ด้วยผ้านี้ เพื่อประโยชน์ และ ความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายสิ้นกาลนานเทอญ ฯ
อานิสงส์ของผู้ทอดถวายผ้ากฐิน
- สร้างความสามัคคีในระหว่างพุทธบริษัท
- เป็นการสั่งสมทุนคือบุญกุศลไว้ในภายภาคหน้า
- ได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบอายุพระพุทธศาสนา เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่
- ได้สงเคราะห์พระสงฆ์ตามพระวินัยซึ่งเป็นไปตามพระบรมพุทธานุญาต
- เป็นการรักษาประเพณีที่ดีงามสืบกันไป
- เป็นการบูชาพุทธโอวาทของพระบรมศาสดา
- ทำตนให้เป็นประโยชน์ สละทรัพย์ให้มีประโยชน์ต่อพุทธศาสนา
- เป็นการสร้างทางไปสวรรค์และนิพพานให้แก่ตนเอง
เครดิต https://www.sanook.com/horoscope/106725/
โดย admin | ก.ย. 4, 2024 | บทความน่าสนใจ
ผ้าอาบน้ำฝน คือ ผ้าที่ถวายในช่วงเข้าพรรษา หรือ ที่เราเรียกว่า ประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝน เป็นประเพณีสำคัญอีกประการในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาเพื่อให้พระท่านได้ใช้สำหรับอาบน้ำในช่วงฤดูฝน ซึ่งจัดเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมามีเพียงปีละครั้งก่อนเข้าพรรษา คือ ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๗ เป็นต้อนไปจนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ โดยจะเลือกช่วงเวลาไหน วันใด ก็ได้ในช่วงเวลานี้ซึ่งขนาดของผ้าอาบน้ำฝนนั้น กำหนดมาตรฐานไว้ว่าต้องทำให้ถูกต้องตามพระวินัยบัญญัติ โดยประมาณที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้ คือ เป็นผ้าผืนยาว ๖ คืบ พระสุคตกว้าง ๒ คืบครึ่ง คิดโดยประมาณของช่างไม้ปัจจุบันยาวรวม ๔ ศอก กับ ๓ กระเบียด กว้างศอกคืบ ๔ นิ้ว ๑ กระเบียด กับ ๒ อนุกระเบียด ถ้าทำให้ยาวหรือกว้างเกินประมาณนี้ไป พระภิกษุใช้สอยต้องอาบัติ ต้องตัดส่วนที่กว้างหรือยาวเกินประมาณนั้นออกเสีย จึงแสดงอาบัติได้
เครดิต https://dharayath.com/
ประวัตความเป็นมา ผ้าอาบน้ำฝน
เรื่องเล่าในสมัยพุทธกาล มีธิดาเศรษฐีแห่งเมืองภัททิยะ แคว้นอังคะ นามว่า นางวิสาขา บุตรสาวของท่านธนัญชัยเศรษฐีและนางสุมนาเทวี ผู้มีจิตเลื่อมใสและศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ขณะอายุได้เพียง ๗ ขวบ นางได้มีโอกาสฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่เมณฑกเศรษฐี ผู้เป็นปู่ ก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน (โสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระธรรม ผู้แรกบรรลุถึงกระแสพระธรรม คือ การบรรลุโสดาบัน) และเมื่อเติบใหญ่ได้แต่งงานกับบุตรเศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถีและย้ายมาอยู่ตระกูลสามี วันหนึ่งนางวิสาขา มหาอุบาสิกา ให้สาวใช้นำภัตตาหารมาถวายพุทธบุตรยังพระเชตวัน เมื่อสาวใช้มาถึงก็ร้องอุทานว่า “พุทธบุตรหายไปไหนหมด มีแต่อาชีวก (นักบวชชีเปลือย) อยู่เต็มไปหมด” นางรีบกลับไปแจ้งนางวิสาขาผู้เป็นนายทันที ด้วยปัญญาแห่งนางผู้เป็นพระโสดาบันตั้งแต่ ๗ ขวบ จึงทราบว่าอาชีวกที่สาวใช้เห็นนั้นคือพุทธบุตรที่พากันปลดจีวร เพื่ออาบน้ำฝนตามพุทธโองการของพระผู้มีพระภาคเจ้า และด้วยความที่นางเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน เป็นมหาอุบาสิกา เป็นผู้มีปัญญาศรัทธาเลื่อมใส มีความใกล้ชิดกับพระภิกษุสงฆ์จึงทราบเหตุการณ์โดยตลอดว่า พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุมีผ้าสำหรับใช้สอยเพียง ๓ ผืน คือ ไตรจีวร ได้แก่ สบง (ผ้านุ่ง) จีวร (ผ้าห่ม) และ สังฆาฎิ (ผ้าห่มซ้อน นอกใช้เวลาอากาศหนาว) ดังนั้น เมื่อเวลาพระภิกษุจะอาบน้ำจึงไม่มีผ้าสำหรับผลัดอาบน้ำ ก็จำเป็นต้องเปลือยกายอาบน้ำ ดังนั้นนางวิสาขา จึงอาศัยเหตุนี้เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับที่บ้านและเสร็จภัตกิจแล้ว นางวิสาขาจึงได้เข้าไปกราบทูลขอพร เพื่อถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่พระภิกษุสงฆ์ พระพุทธองค์ประทานอนุญาตตามที่ขอนั้น นางวิสาขาจึงเป็นบุคคลแรกที่ได้ถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่พระภิกษุสงฆ์จนเกิดประเพณีการถวายผ้าอาบน้ำฝน นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เครดิตเพจ https://www.culture.go.th/culture_th/ewt_news.php?nid=5056&filename=in
อานิสงส์ของการถวายผ้าอาบน้ำฝน
การถวายผ้าอาบน้ำฝนมีความเชื่อที่ถือกันมานานว่า ผู้ใดที่ถวายผ้าอาบน้ำฝนให้กับพระภิกษุสงฆ์ จะถือว่าเป็นการทำบุญที่ช่วยทำนุบำรุงและสนับสนุนพระศาสนาให้คงอยู่สืบไป และเพื่อมิให้พระภิกษุสงฆ์ต้องลำบากในการแสวงหาผ้าอาบน้ำฝน แต่จะได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัตธรรมตามหลักคำสอนของพุทธศาสนาและช่วยเผยแผ่ให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสืบไป และผู้ทืได้บริจาคผ้าอาบน้ำฝน ก็จะได้พบแต่ความสุขความเจริญ จะมั่งมีด้วยทรัพย์สินเงินทองและบริวารมากมาย เมื่อสิ้นบุญไปแล้วก็จะไปเกิดเป็นเทพบตรเทพธดาบนสรวงสวรรค์เสวยทิพยสมบัติสืบไป
พิธีการและขั้นตอนการถวายผ้าอาบน้ำฝน
1 . เมื่อถึงวันกำหนดแล้ว พึงประชุมพร้อมกันตามสถานที่ที่ได้กำหนดไว้ จะเป็นพระอุโบสถ หรือศาลาการเปรียญ นำผ้าอาบน้ำฝน 1 ผู้นำและของถวายอย่างอื่นเป็นบริวาร เช่น ร่ม พุ่มเทียน ไม้ขีด สบู่ ยาสีฟัน กระดาษชำระ ฯลฯ
2 . เมื่อพระสงฆ์ลงประชุมเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นหัวหน้ากล่าวคำถวาย
3 . เมื่อกล่าวคำถวายเสร็จแล้ว เจ้าของผ้าประเคนผ้าแก่พระภิกษุผู้จับได้ฉลากของตนเป็นราย ๆ ต่อไป
4 . เสร็จการประเมินแล้ว พระสงฆ์อนุโมทนา ทายกกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว
เครดิต https://www.sanook.com/horoscope/66533/
โดย admin | ส.ค. 24, 2024 | กิจกรรมงานบุญ, ข่าวสาร, บทความน่าสนใจ, วันสำคัญทางศาสนา
ออกพรรษา 2567 ปีนี้ ตรงกับ วันพฤหัสบดีที่ 17 เดือนตุลาคม ซึ่งจะตรง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด(๑๑) ปีมะโรง วันออกพรรษาตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ (เพ็ญเดือน ๑๑) ของทุกปี หลังจากที่ผ่านเข้าพรรษาระยะเวลา 3 เดือน
พรรษาของพระภิกษุสงฆ์ หมายถึงพระภิกษุสงฆ์ได้จำพรรษาครบกำหนดไตรมาส ตามพระพุทธบัญญัติแล้ว ท่านมีสิทธิ์ที่จะจาริกไปพักค้างคืนที่อื่นได้ ไม่ผิดพระพุทธบัญญัติและยังได้รับอานิสงส์ (ผลดี) คือ
๑.ไปไหนไม่ต้องบอกลา
๒.ไม่ต้องถือผ้าไตรครบชุด
๓. ลาภที่เกิดขึ้นแก่ท่านมีสิทธิ์รับได้
๔. มีโอกาสได้อนุโมทนากฐินและได้รับอานิสงส์คือได้รับการขยายเวลาของอานิสงส์นั้นออกไปอีก ๔ เดือน
ซึ่งหลังจากที่ออกพรรษาแล้วก็จะเข้าสู่ กฐิน หรือ ทอดกฐิน
ออกพรรษา 2567 ประวัติความสำคัญ และ กิจกรรมออกพรรษา
วันสำคัญหลังจากออกพรรษามีดังนี้
วันปวารณา หรือ วันมหาปวารณา
อนึ่ง มีชื่อเรียกวันออกพรรษาอีกอย่างหนึ่งว่า ” วันปวารณา หรือ วันมหาปวารณา” มีความหมายว่าพระภิกษุทั้งหลายทั้งพระผู้ใหญ่และพระผู้น้อยต่างเปิดโอกาสอนุญาตแก่กันและกัน ให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้มีคำกล่าวปวารณาเป็นภาษาลี ว่า “สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ ทิฎเฐนะ วา สุเตนะ วาปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัส์มันโต อะนุกัทปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปฎิกะริสสามิ”
แปลว่า ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ กระผมขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นหรือได้ฟังก็ตาม ขอท่านทั้งหลายโปรดอนุเคราะห์ ว่ากล่าวตักเตือนกระผมด้วย เมื่อกระผมมองเห็นแล้ว จักประพฤติตัวเสียเลยใหม่ให้ดี
การที่พระท่านกล่าวปวารณา (ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือน) กันไว้ ในเมื่อต่างองค์ต่างต้องจากกันไปองค์ละทิศละทางท่านเกรงว่าอาจมีข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น โดยตัวท่านเองรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือมองไม่เห็นเหมือนผงเข้าตาตัวเอง แม้ผลจะอยู่ชิดติดกับลูกนัยน์ตา เราก็ไม่สามารถมองเห็นผลนั้นได้ จำเป็นต้องไหว้วานขอร้องผู้อื่นให้มาช่วยดูหรือต้องใช้กระจกส่องดู เพราะฉะนั้น พระท่านจึงใช้วิธีการกล่าวปวารณาตัดไว้เพื่อท่านรูปอื่นได้เห็นหรือแม้แต่ได้ยินได้ฟัง เรื่องดีไม่ดีไม่งามอะไรก็ตามให้กล่าวแนะนำตักเตือนได้โยไม่ต้องเกรงใจกันทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยด้วยเจตนาดีต่อกัน คือ พระผู้ใหญ่ก็กล่าวตักเตือนพระผู้น้อยได้และพระผู้มีอาวุโสน้อยก็สามารถกล่าวชี้แนะถึงข้อไม่ดีของพระผู้ใหญ่ได้เช่นกัน โดยที่พระผู้ใหญ่คือผู้มีอาวุโสท่านก็มิได้สำคัญตนผิดคิดว่าท่านทำอะไรแล้วถูกไปหมดทุกอย่าง
เครดิตจากเพจ
ประวัติความเป็นมาวันออกพรรษา และตักบาตรเทโว
เมื่อถึงวันออกพรรษา พุทธศาสนิกชนนับว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้าวัดเพื่อบำเพ็ญกุศลแก่พระสงฆ์ที่ตั้งใจจำพรรษา และตั้งใจปฏิบัติธรรมมาตลอดจนครบไตรมาสพรรษากาลในวันนี้ และเมื่อถึงวันถัดจากวันออกพรรษา 1 วัน (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11) พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยยังนิยมไปทำบุญตักบาตรครั้งใหญ่ เรียกว่า ตักบาตรเทโว หรือ ตักบาตรเทโวโรหณะ เป็นการทำบุญออกพรรษาเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติที่กล่าวว่า ในวันถัดจากวันออกพรรษาหนึ่งวัน พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากเทวโลกกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในพรรษาที่ 7 แล้วลงมายังเมืองสังกัสสนคร พร้อมกับทรงแสดงโลกวิวรณปาฏิหารย์เปิดโลกทั้งสามด้วย
เครดิตเพจ http://event.sanook.com/day/buddhistlent/
ตักบาตรเทโว
ตักบาตรเทโว หมายถึง การทำบุญตักบาตรในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลกใน วันมหาปวารณา คือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือ วันออกพรรษา คำว่า “เทโว” เรียกมาจากคำว่า เทโวโรหณะ (เทว+โอโรหณ) ซึ่งแปลว่า การลงจากเทวโลก
การตักบาตรเทโว เป็นการระลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์เสด็จ หลังจากที่พระองค์แสดงพระอภิธรรมโปรดพระมารดา ทรงจำพรรษาที่นั้นเป็นเวลา 3 เดือน และกลับจากเทวโลก
เครดิต https://travel.trueid.net/detail/rJ7YGEogvwaj
โดย admin | ส.ค. 20, 2024 | ธรรมะน่าสนใจ, บทความธรรมมะ, บทความน่าสนใจ
ทำบุญ คืออะไร หลายคำตอบและหลายท่านยังมีความลังเล สงสัย ทำไมต้องทำบุญ ทำแล้วได้อะไร อย่างไร แล้วพระพุทธเจ้าท่านให้หลักธรรมทำบุญไว้อย่างไร ถึงจะทำแล้วไม่งมงายและมีสติ
ซึ่งโดยเบื้องต้นแล้ว จุดมุ่งหมายของศาสนาคือ การให้คนพ้นทุกข์ ด้วยการเดินตามทางสายกลางคือ องค์มรรคแปดประการ หรือ ย่ออย่างง่ายเบื้องต้นคือ ทาน ศีล สมาธิ และ สุดท้ายคือมี ปัญญา เพื่อเห็นทางพ้นทุกข์ และจุดมุ่งหมายแรกคือ ก่อนไปในถึงความเข้าใจในขั้นอื่น ๆ นั้น ต้องมี ทาน และ ศีล เป็นที่สมบูรณ์อย่างมีสติ และ เหตุผล ไม่งมงาย การให้ทาน ก็คือ การให้เพื่อไม่ให้เห็นแก่ตัว และ ละความโลภที่มีในตน กล่าวง่าย ๆ อีกแบบคือ การทำบุญทำทาน
ทำบุญ คืออะไร
การทำบุญ หมายถึง การประกอบให้ความดีเกิดขึ้น ซึ่งมาจากคำว่า “บุญ” (บาลี: ปุญฺญ) หรือ บุณย์ (สันสกฤต: ปุณฺย) ที่หมายถึง ความดี ตรงกันข้ามกับคำว่า บาป (บาลี: อปุญฺญ)
เครดิต https://www.wreathnawat.com/merit-making-in-buddhism/
ทำบุญ ที่จะให้ได้ผลบุญมากหรือน้อยนั้น มีหลักเกณฑ์อยู่ 3 ประการคือ
1.ผู้รับ จะต้องเป็นผู้มีศีล มีคุณธรรมความดี แต่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระสงฆ์ หรือนักบวช จะเป็นคนทั่วไปก็ได้ ถ้าผู้รับดี ผู้ทำก็ได้บุญมาก หากผู้รับไม่ดี ก็อาจจะทำให้เราได้บุญน้อย เพราะเขาอาจอาศัยผลบุญของเรา ไปทำชั่วได้ เช่น ให้เงินช่วยเหลือเพื่อนๆ กลับเอาไปปล่อยกู้ สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เป็นต้น
2.วัตถุสิ่งของที่ให้ต้องบริสุทธิ์หรือได้มาโดยสุจริต เป็นของที่เหมาะและมีประโยชน์ต่อผู้รับ เช่น ให้เสื้อผ้าของเล่นแก่เด็กกำพร้า เป็นต้น ของที่ให้ดีผู้ทำก็ได้บุญมาก หากได้มาโดยทุจริต แม้จะเอาไปทำบุญก็ได้บุญน้อย
3.ผู้ให้ ต้องมีศีลมีธรรมและมีเจตนาที่เป็นบุญกุศลในการทำ จึงจะได้บุญมาก นอกจากนี้ เจตนาหรือจิตใจในขณะทำบุญ ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญกล่าวคือ ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ หากผู้ให้มีความตั้งใจดี ตั้งใจทำ เมื่อทำแล้วก็เบิกบานใจ คิดถึงบุญกุศลที่ได้ทำเมื่อใด จิตใจก็ผ่องใสเมื่อนั้น เช่นนี้ก็จะทำให้ผู้ทำได้บุญมาก ถ้าไม่รู้สึกเช่นนั้น บุญก็ลดน้อยถอยลงตามเจตนา
เครดิตเพจ https://www.thaihealth.or.th
การทำบุญนั้น มีหลักธรรมอันสำคัญคือ บุญกิริยา 10 ประการที่กล่าวได้ว่าไม่เสียเงินทองเลย ซึ่งมีข้อเดียวที่เสียวัตถุ คือ ทานมัย ที่เหลือ 9 ข้อไม่มีการเสียวัตถุในการทำบุญ ซึ่งกล่าวได้ว่า ใช้ศรัทธาและปัญญาอย่างมีสติในการทำบุญ ที่มุ่งเน้นการละความโลภมิใช่การนำมาอวดว่ามีบุญมากกว่าสูงกว่า แต่มีคุณธรรม กุศลจิตที่เข้าสู่ในจิตใจ และนำไปสู่การปฏิบัติ ศีล สมาธิ ภาวนาได้ สงบ ปราศจากการกกังวลใด ๆ ต่ออำนาจของกิเลส
บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ
บุญกิริยาวัตถุ แปลว่า หลักแห่งการบำเพ็ญบุญ หรือทางมาแห่งบุญ ๑๐ ประการ คือ
๑. ทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน
๒. สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา
๔. อปจายนมัย บุญเกิดจากการอ่อนน้อม ถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
๕. ไวยยาวัจมัย บุญเกิดจากการขวนขวาย ในกิจที่ชอบ
๖. ปัตติทานมัย บุญเกิดจากการอุทิศส่วนบุญ
๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญเกิดจากการอนุโมทนาบุญ
๘. ธัมมัสสวนมัย บุญเกิดจากการฟังธรรม
๙. ธัมมเทสนามัย บุญเกิดจากการแสดงธรรม
๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ บุญเกิดจากการทำความเห็นให้ตรง
โดย admin | ส.ค. 9, 2024 | ธรรมะน่าสนใจ
สัปปายะ 7 อีกหนึ่งหลักธรรมที่สำคัญที่นำมาร่วมปฏิบัติโดยเฉพาะผู้ที่ต้องการภาวนา เพราะการที่เราทราบสิ่งที่เกื้อกูลกัน หรือหลักธรรมอันเกื้อกูล เช่นถ้าเราอยู่ในสภาพวะที่เอื้อต่อการนั่งสมาธิ เช่น ห่างไกลจากความวุ่นวาย แล้วทำให้เรารู้สึกเงียบ การปฏิบัติเบื้องต้นในการสงบจิตใจ ให้นิ่งก็จะทำให้ง่ายต่อการภาวนา เหมือนอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม หลักธรรมนั้นก็มีหลักอื่น เช่น หลักธรรมที่เป็นปรปักกษ์กันก็มี พละห้า กับ นิวรณ์ห้า
แนะนำอ่าน พละ 5 คืออะไร กำลังทั้ง 5 แห่งการกำจัดนิวรณ์
สัปปายะ 7 คืออะไร
สัปปายะคือ สัปปายะสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ที่มาเกื้อกูลให้การประพฤติปฎิบัติธรรม
เครดิตเพจ https://www.thaihealth.or.th/
สิ่งที่เหมาะกัน สิ่งที่เกื้อกูล ช่วยสนับสนุนในการบำเพ็ญภาวนาให้ได้ผลดี ช่วยให้สมาธิตั้งมั่น ไม่เสื่อมถอย ซึ่งมีด้วยกัน 7 ข้อดังนี้
1. อาวาสสัปปายะ : ที่อยู่ซึ่งเหมาะกัน เช่น ไม่พลุกพล่าน
2. โคจรสัปปายะ :ที่หาอาหาร ที่เที่ยวบิณฑบาตที่เหมาะดี เช่น มีหมู่บ้านหรือชุมชนที่มีอาหาร บริบูรณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป
3. ภัสสสัปปายะ :การพูดคุยที่เหมาะกัน เช่น พูดคุยเล่าขานกันแต่ในกถาวัตถุ 10 และพูดแต่พอ ประมาณ
4. ปุคคลสัปปายะ : บุคคลที่ถูกกันเหมาะกัน เช่น มีท่านผู้ทรงคุณธรรม ทรงภูมิปัญญาเป็นที่ ปรึกษาเหมาะใจ
5. โภชนสัปปายะ :อาหารที่เหมาะกัน เช่น ถูกกับร่างกาย เกื้อกูลต่อสุขภาพ ฉันไม่ยาก
6. อุตุสัปปายะ : ดินฟ้าอากาศธรรมชาติแวดล้อมที่เหมาะกัน เช่น ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป เป็นต้น
7. อิริยาปกสัปปายะ : อิริยาบถที่เหมาะกัน เช่น บางคนถูกกับจงกรม บางคนถูกกับนั่ง ตลอดจนมี การเคลื่อนไหวที่พอดี
อ้างอิงจาก
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชโช วันที่ 27 กรกฎาคม 2567
Facebook : สาระธรรม
เครดิต https://dharayath.com/