โดย admin | ส.ค. 20, 2024 | ธรรมะน่าสนใจ, บทความธรรมมะ, บทความน่าสนใจ
ทำบุญ คืออะไร หลายคำตอบและหลายท่านยังมีความลังเล สงสัย ทำไมต้องทำบุญ ทำแล้วได้อะไร อย่างไร แล้วพระพุทธเจ้าท่านให้หลักธรรมทำบุญไว้อย่างไร ถึงจะทำแล้วไม่งมงายและมีสติ
ซึ่งโดยเบื้องต้นแล้ว จุดมุ่งหมายของศาสนาคือ การให้คนพ้นทุกข์ ด้วยการเดินตามทางสายกลางคือ องค์มรรคแปดประการ หรือ ย่ออย่างง่ายเบื้องต้นคือ ทาน ศีล สมาธิ และ สุดท้ายคือมี ปัญญา เพื่อเห็นทางพ้นทุกข์ และจุดมุ่งหมายแรกคือ ก่อนไปในถึงความเข้าใจในขั้นอื่น ๆ นั้น ต้องมี ทาน และ ศีล เป็นที่สมบูรณ์อย่างมีสติ และ เหตุผล ไม่งมงาย การให้ทาน ก็คือ การให้เพื่อไม่ให้เห็นแก่ตัว และ ละความโลภที่มีในตน กล่าวง่าย ๆ อีกแบบคือ การทำบุญทำทาน
ทำบุญ คืออะไร
การทำบุญ หมายถึง การประกอบให้ความดีเกิดขึ้น ซึ่งมาจากคำว่า “บุญ” (บาลี: ปุญฺญ) หรือ บุณย์ (สันสกฤต: ปุณฺย) ที่หมายถึง ความดี ตรงกันข้ามกับคำว่า บาป (บาลี: อปุญฺญ)
เครดิต https://www.wreathnawat.com/merit-making-in-buddhism/
ทำบุญ ที่จะให้ได้ผลบุญมากหรือน้อยนั้น มีหลักเกณฑ์อยู่ 3 ประการคือ
1.ผู้รับ จะต้องเป็นผู้มีศีล มีคุณธรรมความดี แต่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระสงฆ์ หรือนักบวช จะเป็นคนทั่วไปก็ได้ ถ้าผู้รับดี ผู้ทำก็ได้บุญมาก หากผู้รับไม่ดี ก็อาจจะทำให้เราได้บุญน้อย เพราะเขาอาจอาศัยผลบุญของเรา ไปทำชั่วได้ เช่น ให้เงินช่วยเหลือเพื่อนๆ กลับเอาไปปล่อยกู้ สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เป็นต้น
2.วัตถุสิ่งของที่ให้ต้องบริสุทธิ์หรือได้มาโดยสุจริต เป็นของที่เหมาะและมีประโยชน์ต่อผู้รับ เช่น ให้เสื้อผ้าของเล่นแก่เด็กกำพร้า เป็นต้น ของที่ให้ดีผู้ทำก็ได้บุญมาก หากได้มาโดยทุจริต แม้จะเอาไปทำบุญก็ได้บุญน้อย
3.ผู้ให้ ต้องมีศีลมีธรรมและมีเจตนาที่เป็นบุญกุศลในการทำ จึงจะได้บุญมาก นอกจากนี้ เจตนาหรือจิตใจในขณะทำบุญ ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญกล่าวคือ ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ หากผู้ให้มีความตั้งใจดี ตั้งใจทำ เมื่อทำแล้วก็เบิกบานใจ คิดถึงบุญกุศลที่ได้ทำเมื่อใด จิตใจก็ผ่องใสเมื่อนั้น เช่นนี้ก็จะทำให้ผู้ทำได้บุญมาก ถ้าไม่รู้สึกเช่นนั้น บุญก็ลดน้อยถอยลงตามเจตนา
เครดิตเพจ https://www.thaihealth.or.th
การทำบุญนั้น มีหลักธรรมอันสำคัญคือ บุญกิริยา 10 ประการที่กล่าวได้ว่าไม่เสียเงินทองเลย ซึ่งมีข้อเดียวที่เสียวัตถุ คือ ทานมัย ที่เหลือ 9 ข้อไม่มีการเสียวัตถุในการทำบุญ ซึ่งกล่าวได้ว่า ใช้ศรัทธาและปัญญาอย่างมีสติในการทำบุญ ที่มุ่งเน้นการละความโลภมิใช่การนำมาอวดว่ามีบุญมากกว่าสูงกว่า แต่มีคุณธรรม กุศลจิตที่เข้าสู่ในจิตใจ และนำไปสู่การปฏิบัติ ศีล สมาธิ ภาวนาได้ สงบ ปราศจากการกกังวลใด ๆ ต่ออำนาจของกิเลส
บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ
บุญกิริยาวัตถุ แปลว่า หลักแห่งการบำเพ็ญบุญ หรือทางมาแห่งบุญ ๑๐ ประการ คือ
๑. ทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน
๒. สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา
๔. อปจายนมัย บุญเกิดจากการอ่อนน้อม ถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
๕. ไวยยาวัจมัย บุญเกิดจากการขวนขวาย ในกิจที่ชอบ
๖. ปัตติทานมัย บุญเกิดจากการอุทิศส่วนบุญ
๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญเกิดจากการอนุโมทนาบุญ
๘. ธัมมัสสวนมัย บุญเกิดจากการฟังธรรม
๙. ธัมมเทสนามัย บุญเกิดจากการแสดงธรรม
๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ บุญเกิดจากการทำความเห็นให้ตรง
โดย admin | ส.ค. 9, 2024 | ธรรมะน่าสนใจ
สัปปายะ 7 อีกหนึ่งหลักธรรมที่สำคัญที่นำมาร่วมปฏิบัติโดยเฉพาะผู้ที่ต้องการภาวนา เพราะการที่เราทราบสิ่งที่เกื้อกูลกัน หรือหลักธรรมอันเกื้อกูล เช่นถ้าเราอยู่ในสภาพวะที่เอื้อต่อการนั่งสมาธิ เช่น ห่างไกลจากความวุ่นวาย แล้วทำให้เรารู้สึกเงียบ การปฏิบัติเบื้องต้นในการสงบจิตใจ ให้นิ่งก็จะทำให้ง่ายต่อการภาวนา เหมือนอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม หลักธรรมนั้นก็มีหลักอื่น เช่น หลักธรรมที่เป็นปรปักกษ์กันก็มี พละห้า กับ นิวรณ์ห้า
แนะนำอ่าน พละ 5 คืออะไร กำลังทั้ง 5 แห่งการกำจัดนิวรณ์
สัปปายะ 7 คืออะไร
สัปปายะคือ สัปปายะสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ที่มาเกื้อกูลให้การประพฤติปฎิบัติธรรม
เครดิตเพจ https://www.thaihealth.or.th/
สิ่งที่เหมาะกัน สิ่งที่เกื้อกูล ช่วยสนับสนุนในการบำเพ็ญภาวนาให้ได้ผลดี ช่วยให้สมาธิตั้งมั่น ไม่เสื่อมถอย ซึ่งมีด้วยกัน 7 ข้อดังนี้
1. อาวาสสัปปายะ : ที่อยู่ซึ่งเหมาะกัน เช่น ไม่พลุกพล่าน
2. โคจรสัปปายะ :ที่หาอาหาร ที่เที่ยวบิณฑบาตที่เหมาะดี เช่น มีหมู่บ้านหรือชุมชนที่มีอาหาร บริบูรณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป
3. ภัสสสัปปายะ :การพูดคุยที่เหมาะกัน เช่น พูดคุยเล่าขานกันแต่ในกถาวัตถุ 10 และพูดแต่พอ ประมาณ
4. ปุคคลสัปปายะ : บุคคลที่ถูกกันเหมาะกัน เช่น มีท่านผู้ทรงคุณธรรม ทรงภูมิปัญญาเป็นที่ ปรึกษาเหมาะใจ
5. โภชนสัปปายะ :อาหารที่เหมาะกัน เช่น ถูกกับร่างกาย เกื้อกูลต่อสุขภาพ ฉันไม่ยาก
6. อุตุสัปปายะ : ดินฟ้าอากาศธรรมชาติแวดล้อมที่เหมาะกัน เช่น ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป เป็นต้น
7. อิริยาปกสัปปายะ : อิริยาบถที่เหมาะกัน เช่น บางคนถูกกับจงกรม บางคนถูกกับนั่ง ตลอดจนมี การเคลื่อนไหวที่พอดี
อ้างอิงจาก
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชโช วันที่ 27 กรกฎาคม 2567
Facebook : สาระธรรม
เครดิต https://dharayath.com/
โดย admin | ก.ค. 31, 2024 | ธรรมะน่าสนใจ, บทความน่าสนใจ
การอุทิศส่วนกุศล ให้กับผู้ล่วงลับสามารถทำได้ตลอดปี หรือ ทำบุญครบ 100 วัน หรือ ทำบุญครบ 1ปี โดยทั่วไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลนั้น ก็มักจะเลือกถวายสังฆทาน อาจจะเพราะด้วยเหตุการปัจจุบันที่ไม่ค่อยมีเวลา จึงต้องเน้นความสะดวก แต่หลายท่านอาจจะไม่แน่ใจว่า ทำถูกต้องหรือถูกวิธีหรือไม่ และต้องเริ่มต้นอย่างไรในการ ถวายสังฆทานเพื่ออุทิศให้กับผู้ล่วงลับ
อ่านเพิ่มเติมเเนะนำอโหสิกรรม เพื่อขอขมาผู้ล่วงลับ ลดกรรมได้จริงหรือไม่
การอุทิศส่วนกุศล คืออะไร
การทำบุญอุทิศคือ ทำบุญอุทิศแจกส่งส่วนบุญให้ถึงดวงวิญญาณของญาติ ผู้ตายไปแล้ว เพื่อให้ผู้ตายได้รับผลบุญกุศลสนับสนุนให้ไปเกิดในภพหน้าที่ดี
เครดิตเพจ https://so06.tci-thaijo.org/index.php
ขั้นตอนการถวายสังฆทานใน การอุทิศส่วนกุศล มีดังนี้
ในพิธีการถวาย ต้องจุดธูป 3 ดอก เทียน 2 เล่ม (ด้านซ้ายและขวาของ พระพุทธรูป หรือด้านขวาและซ้ายมือของเรา)
จากนั้น…..กล่าวคำบูชาพระรัตนะตรัยพร้อมกัน และกราบพระอีกครั้งว่า
“อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวังตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมังนะมะสามิ (กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆังนะมามิ” (กราบ)
จากนั้น…..แล้วอาราธนาศีล ว่า
“มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ
ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ
ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ”
เสร็จแล้ว พระจะให้ศีล เราพนมมือกล่าวรับศีลจากพระ รับศีลจบแล้วตั้งนะโม…เพื่อเป็นการเคารพนบนอบต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า
“นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ” 3 จบ
จากนั้น…..กล่าวคำถวายสังฆทานโดยกล่าวดังนี้
“อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุ สังโฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ”
โดยกล่าวคำแปลต่อ โดยกล่าวว่า
“ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายภัตตาหาร กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์โปรดรับภัตตาหารกับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ”
เมื่อกล่าวคำถวายเสร็จ พระจะกล่าวพร้อมกันว่า “สาธุ” แล้วเราเข้าไปถวายสังฆทาน ซึ่งจะนำมาวางอยู่ต่อหน้าพระสงฆ์ก่อนแล้ว เวลาประเคนถ้าประเคน 2 คน ก็จับเครื่องไทยธรรมนั้น ๆ ทั้ง 2 คน ยกให้สูงจากพื้นที่วางของ แล้วประเคนให้พระสงฆ์รับ หลังจากนั้นพระสงฆ์จะอนุโมทนา ตอนนี้เป็นตอนที่สำคัญที่สุดในการทำบุญเพื่ออุทิศให้กับพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ครูบาอาจารย์ ท่านผู้มีพระคุณ เจ้ากรรมนายเวร ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ต้องมีสมาธิมีเจตนาแน่วแน่ในการทำบุญอุทิศ ซึ่งจะทำให้ได้อานิสงส์แรง พระจะสวดเป็นภาษาบาลีว่า
“ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะนิโชติระโส ยะถา”
พอพระเริ่มกล่าวคำว่า ยะถา วะริวะหา… เราก็เริ่มกรวดน้ำทันที (ให้รินน้ำลงในที่รองรับช้า ๆ เป็นสายน้ำอย่าให้ขาดสายจะดี) พร้อมกับกล่าวคำอุทิศส่วนบุญที่เราได้ทำในครั้งนี้ไปให้กับ บิดามารดา ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา ครูบาอาจารย์ ท่านผู้มีพระคุณ เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ทุกข์ก็ให้พ้นทุกข์ ที่มีสุข ก็ให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้น หรือกล่าวคำกรวดน้ำเป็นภาษาบาลีอย่างย่อก็ได้ว่า
“อิทังเม ญาติณังโหตุ สุขิตาโหตุ ญาตะโญ”
แปลว่า “ขอให้บุญนี้จงสำเร็จแก่บิดามารดา และญาติพี่น้องของข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอให้มีความสุขกายสุขใจ” ถ้าว่าไม่ได้หรือจำไม่ได้ ก็ให้กล่าวเป็นภาษาไทยอย่างเดียวก็ได้ แต่ต้องตั้งจิตอธิษฐานด้วยใจ อย่ากล่าวแต่ปากโดยใจมิได้จดจ่อกับสิ่งที่กล่าว
เมื่อพระสวดคำว่า “จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะนิโชติระโส ยะถา” ก็ให้รินน้ำลงให้หมด ขณะนี้พระยังสวดต่ออีก เป็นการสวดให้พรแก่ตัวเราแล้ว ไม่ใช่การอุทิศส่วนบุญให้ผู้อื่น/สัตว์อื่น) เราก็นั่งพนมมือทำจิตใจให้อิ่มเอิบเบิกบานรับพรจากพระ เมื่อพระสวดจบก็เป็นอันเสร็จ พิธีถวายสังฆทาน อย่างสมบูรณ์
การถวายสังฆทานอุทิศให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว
การถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร เพื่ออุทิศแก่ผู้ตาย หรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เรียกว่า มะตะกะภัต พิธีการต่าง ๆ ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับการถวายสังฆทาน ผ้าไตรทั่วไป แต่จะมีความแตกต่างกัน ตรงที่ คำกล่าวถวายมีการเปลี่ยนคำบางคำไป เพื่อให้เหมาะสมและถูกต้อง ตามความตั้งใจที่ต้องการถวายสังฆทานแด่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
การอุทิศส่วนกุศลนั้นนิยมทำช่วงเวลาใดบ้าง
ในการทำบุญถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร เพื่ออุทิศให้ผู้ล่วงลับ สามารถทำได้ทุกวัน และยังมีวันพิเศษที่ควรทำบุญให้ตามความเชื่อ ได้แก่ วันพระ วันครบรอบวันตาย 7 วัน, 50 วัน, 100 วัน, และหากเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ก็ยังมีการทำบุญในสถานที่เกิดอุบัติเหตุนั้นๆด้วย ซึ่งมีเหตุผลดังต่อไปนี้
1. วันพระ เฉพาะวันพระขึ้น 15 ค่ำ: เป็นวันที่ยมโลกนรกหยุดทัณฑ์ทรมานให้สัตว์นรก 1 วันโลกมนุษย์ สัตว์นรกมีทุกขเวทนาเบาบางลง จึงมีโอกาสระลึกถึงบุญกุศลที่ตนทำและอนุโมทนาส่วนบุญที่ผู้อื่นอุทิศให้ได้เต็มที่ ส่วนญาติที่เกิดเป็นเทวดาก็จะนิยมมาฟังธรรมในวันพระและตรวจดูการทำบุญกุศลและอนุโมทนาบุญกับผู้ที่ทำความดีในโลกนี้ เราจึงควรทำบุญตักบาตร และ ถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร เพื่ออุทิศบุญให้แก่ผู้ล่วงลับ
2. วันครบรอบวันตาย 7 วัน: ในกรณีที่ผู้ตายไปแล้วเป็นผู้ที่ทำกรรมดีและชั่วไม่มากพอ บุญบาปที่ตนทำในโลกนี้ยังไม่ส่งผลในทันที ผู้ตายจะวนเวียนอยู่ 7 วันเพื่อให้มีโอกาสระลึกถึงบุญกุศลได้ หากผู้ตายระลึกถึงบุญกุศลที่ตนเคยทำได้ หรือ หากญาติมิตรทำบุญอุทิศให้อย่างถูกวิธี และอนุโมทนาบุญ ผลบุญนั้นก็จะพาไปเกิดในที่ดี เราจึงควรทำบุญตักบาตร และ ถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร เพื่ออุทิศบุญแก่ผู้ล่วงลับในวันนี้แช่นกัน
3. วันครบรอบวันตาย 50 วัน: ในกรณีที่ผู้ตายถูกเจ้าหน้าที่ยมโลกพาไปยมโลกแล้ว ช่วงระหว่างเวลา 50 วันหลังตาย คือช่วงเวลาที่ผู้ตายกำลังรอคอยลำดับคิวการพิพากษาตั้งแต่ถูกลากตัวไปจากมนุษย์โลก ผ่านประตูยมโลก อยู่หน้าลานรอขานชื่อเพื่อเข้าพบพระยายมราช
*พระยายมราช คือ เทพชั้นจาตุมหาราชิกาประเภทหนึ่งที่มีกรรมเกี่ยวพันด้านกฎหมาย ชอบตัดสินคดีความด้วยความซื่อสัตย์ตอนสมัยเป็นมนุษย์และทำบุญ หรือเมื่อทำบุญก็ตั้งความปรารถนาไว้
4. วันครบรอบวันตาย 100 วัน: ช่วงเวลาระหว่าง 51 ถึง 100 วัน คือช่วงกำลังถูกพิพากษา พระยายมราชจะซักถามความประพฤติตอนสมัยเป็นมนุษย์ และจะส่งไปเกิดเป็นอะไรต่ออะไร ช่วงนี้ถ้าญาติทำบุญตักบาตร หรือถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร และอุทิศบุญไปให้ก็ยังรับบุญได้
เครดิตจากเพจ
โดย admin | พ.ค. 19, 2024 | ธรรมะน่าสนใจ, วันสำคัญทางศาสนา
วันวิสาขบูชา คือหนึ่งในวันที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา คือ วันอาสาฬหบูชา , วันมาฆบูชา และวันวิสาฆบูชา ซึ่งจะตรงกับ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และมีเหตุการณ์สำคัญ คือ ประสูตร ตรัสรู้ ปรินิพพาน อีกทั้งเป็นวันพระใหญ่ที่ส่วนใหญ่จะพาครอบครัวไปทำบุญที่วัดและอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร หรือ ผู้ล่วงลับในครอบครัว เพราะมีความเชื่อว่า เป็นวันที่มีความสำคัญและเป็นวันที่ศักดิ์มาก
วันวิสาขบูชา คือวันอะไร
เป็นวันที่สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ซึ่งเกิดขึ้นในวันและเดือนเดียวกัน คือ ในวันเพ็ญ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ) เดือนหก หรือเดือนเวสาขะ พระจันทร์เสวยวิสาขฤกษ์
เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว ในห้วงระยะเวลาที่ต่างกันคือ
- ครั้งแรก เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ โอรสพระเจ้าสุทโธธนะ และ พระนาง สิริมหามายาแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ โดยประสูติที่ป่าลุมพินีวัน ณ เขตแดนรอยต่อระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ของฝ่ายพระราชบิดากับกรุงเทวทหะของฝ่ายพระราชมารดา
- ครั้งที่สอง เกิดเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ออกทรงผนวชได้ ๖ ปี พระชนมายุ ๓๕ พรรษา ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ริ่มฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ประเทศมคธปัจจุบันคือที่ตั้งพุทธคยา
- ครั้งที่สาม เกิดเมื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ ปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ณ เมืองกุสินารา
ความสำคัญด้านวันสากล
วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญที่สุดทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากล้วนมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการถือกำเนิดของพระพุทธศาสนา คือ เป็นวันที่พระศาสดา คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ดังนั้นพุทธศาสนิกชนทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชานี้ และในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2542 องค์การสหประชาชาติได้ยอมรับญัตติที่ประชุม กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก โดยเรียกว่า Vesak Day
ขอบคุณเครดิตจากเพจ

กิจกรรม ที่นิยมทำในวันวิสาขบูชา
- เวียนเทียนรอบโบถส์และรำลึก พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ ในเวลากลางคืน
- ช่วงเช้าไปวัดทำบุญกับครอบครัว ปล่อยสัตว์ เช่น ปล่อยปลา ปล่อยนก เพื่อสร้างทานบารมี และ ถวายสังฆทานให้กับผู้ล่วงลับ , เจ้ากรรมนายเวร
- ฟังธรรมเทศนา เกี่ยวกับวันวิสาขบูชา
โดย admin | ก.พ. 6, 2024 | ข่าวสาร, ธรรมะน่าสนใจ, บทความธรรมมะ, บทความน่าสนใจ
ผ้าไตรจีวร / ผ้าไตร สำหรับเตรียมตัวจัดงานบวชน้ัน หลายท่านจะมีความสับสนการเลือกและไม่เข้าใจว่า ทำไมบางครั้งที่ร้านขายผ้าไตรจะถามเราว่า เอาแบบ 5 ขันธ์หรือ 9 ขันธ์ บทความนี้จะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกผ้าไตรสำหรับผู้ที่กำลังหาซื้อผ้าไตรสำหรับเตรียมในงานบวชให้กับลูกหลาน หรือ จัดหาเพื่อถวายผ้าไตรแด่พระภิกษุ
ผ้าไตรจีวร คืออะไร
ผ้าไตร คือ ผ้าที่พระสงฆ์ใช้นุ่งครอง หรือผ้าเหลืองที่เราเห็นพระสงฆ์นุ่งห่มนั่นเอง บางครั้งชาวบ้านก็จะเรียกผ้าที่พระครองว่า ผ้าไตรจีวรหรือผ้าจีวร แต่ทำไมถึงเรียกว่าผ้าไตร
คำว่า ไตร หมายถึง ไตรที่แปลว่า สาม ดังนั้นในความหมายของผ้าไตรในการแปลแบบตรงไปตรงมา ก็จะหมายถึง ผ้าสามผืนนั่นเอง ดังนั้น เมื่อเรากล่าวถึงผ้าไตร ก็จะเข้าใจตรงกันในความหมายเดียวกันคือ ผ้าสามผืนที่พระสงฆ์ใช้สำหรับนุ่งครอง
ซึ่งในผ้าไตร 3 ผืน ก็จะประกอบไปด้วย
- ผ้าจีวร หรือ ผ้าห่ม ซึ่งพระสงฆ์จะเรียกว่า อุตราสงค์
- ผ้าสบง หรือ ผ้านุ่ง ซึ่งพระสงฆ์เรียกว่า อันตรวาสก
- สังฆาฏิ หรือ ผ้าซ้อน/ผ้าพาดบ่า
ผ้าไตร ส่วนใหญ่มักนิยมเรียกย่อๆ ว่า ไตร ไตรเต็ม หรือ ไตรแบ่ง
ไตรเต็ม คือ ผ้าไตรที่จัดรวมกันไว้เป็นชุดครบทั้ง 3 ผืน เหมือนผ้าไตรที่นิยมวายกันโดยทั่วไป บางโอกาสอาจจะเพิ่ม กายพันธน์ ผ้าอังสะ ผ้ารัดอก และผ้ากราบ
- กายพันธน์ คือ ผ้าประคดรัดเอว (รัดประคด)
- ผ้าอังสะ คือ ผ้าที่มีลักษณะคล้ายเสื้อใช้คล้องไหล่เฉียงบ่าปิดไหล่ซ้าย พระจะใช้เมื่อเวลาอยู่ที่วัดตามลำพัง (ไม่ต้องห่มจีวรคลุมร่างทั้งผืน)
- ผ้ารัดอก ใช้สำหรับรัดจีวรเมื่อเวลาห่มดอง
- ผ้ากราบ ใช้สำหรับรองเมื่อเวลากราบและใช้ปูรับของเมื่อเวลาผู้หญิงประเคนของถวาย
ผ้าไตรจีวร 5 ขันธ์ และ ผ้าไตรจีวร 9 ขันธ์
ขัณฑ์ คือ ลักษณะของการเย็บผ้า จำนวนชิ้นผ้าที่ตัดขาดจากกัน นำมาเย็บต่อเข้าเป็นผืนเดียวกันเช่น ผ้าไตร 9 ขัณฑ์ คือ ผ้า 9 ชิ้น ที่นำมาเย็บต่อเป็นผืนเดียวกันใช้เป็นสบงหรือจีวร (จำนวนขัณฑ์มาก จำนวนชิ้นผ้าก็เยอะตาม)
- สำหรับพระวัดทั่วไป (มหานิกาย) นิยมถวาย ผ้าไตร 5 ขัณฑ์
- สำหรับพระวัดป่ากรรมฐาน (ธรรมยุติ) นิยมถวาย ผ้าไตร 9 ขัณฑ์
ชุดเครื่องบวชพระภิกษุสงฆ์ ประกอบไปด้วย
- ไตรครอง ประกอบด้วยอัฐบขาล 7 อย่าง
- ไตรอาศัย (สบง, จีวร, อังสะ)
- ไตรคู่สวด – อุปัชฌาย์
- ชุดนาค (เสื้อครุยนาค, สบงขาว, ผ้าสไบ)
- บาตรครบชุด
- ตาลปัตร
- ย่าม
- อาสนะ
- ต้นเทียนถวายพระอุปัชฌาย์ – พระคู่สวด 3 ใบ
- กรวยขมา ถวายพระอุปัชฌาย์ – พระคู่สวด 3 ใบ
- ธูป เทียน แพ พาน
- เสื่อ
- ที่นอนพระ
- หมอน
- มุ้ง
- ผ้าเช็ดตัว – ผ้าเช็ดหน้า
- ผ้าห่ม
- ปิ่นโต
- กระโถน
- จาน ช้อน ส้อม แก้วน้ำ
- รองเท้าแตะ
พิธีการบวช
1. ตอนเย็นก่อนบวชจะมีพิธีโกนหัวนาค ณ โรงพิธีประชุมวงฆ์ นาคทั้งหลายจะรับศีล อาราธนาพระปริตรพระสงฆ์พรมน้ำมนต์และสระผมนาค ผู้ที่โกนหัวอาจเป็นพระสงฆ์หรือพ่อแม่ จากนั้นญาติผู้ใหญ่จะโกนด้วยเล็กน้อย
2. หลังจากนั้นอาบน้ำ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวนุ่งขาว ห่มขาว เรียกว่า “เจ้านาค”
3. กลางคืนจัดให้มีพิธีสงฆ์เรียกว่า “การสวดผ้า” เจ้านาคต้องมีไตรจีวร และจะมีการทำขวัญนาคด้วยในคืนนี้
4. จะมีการแห่นาคในวันบวชวันรุ่งขึ้น แห่รอบโบสถ์ 3 รอบ เป็นการบูชาพระพุทธศาสนา ขณะที่แห่จะมีการว่าเพลง “คำตัก”
5. เมื่อครบ 3 รอบ นาคจะจุดธูปเทียน บูชาพัทธสีมา มีการกรวดน้ำ
6. หลังจากนั้นญาติจะช่วยกันอุ้มนาคเข้าอุโบสถ ห้ามเหยียบธรณีประตู พ่อแม่นาคส่งไตรครองให้นาค เพื่อถวายพระอุปัชฌาย์ ถวายพระกรรมวาจาจารย์ (พระคู่สวด) และพระอนุสาวนาจารย์ ท่านละ 3 กรวย จากนั้นกล่าวคำขอบรรพชา รับศีล 10 พระอุปัชฌาย์คล้องบาตรสะพาย พระคู่สวดจะประกาศว่าผู้ชื่อนั้นๆ ได้มาขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ แล้วตั้งคำถามเป็นข้อๆ เรียกว่า “ขานนาค”
7. เมื่อขานนาคเสร็จ นาคขออุปสมบทต่อคณะสงฆ์ คณะสงฆ์กล่าว อนุศาสน์ (ข้อควรปฏิบัติ และไม่ควรปฏิบัติขณะที่บวช)
8. เมื่อจบอนุศาสน์ พระบวชใหม่ถวายของบูชาพระคุณแก่คณะสงฆ์ จากนั้นรับของถวายเครืองไทยธรรมจากญาติ ขณะเดียวกันจะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่บิดา มารดา ญาติเป็นอันเสร็จพิธี
โดย admin | ม.ค. 27, 2024 | ธรรมะน่าสนใจ, สมาธิ
สมาธิ เป็นการรวบรวมสภาวะจิตใจให้แน่วแน่ และเป็นหนึ่งในวิธีฝึกจิตให้นำไปสู่ความสงบ ที่เรียกว่า สมถะ คือทำใจห้สงบก่อนแล้วจิตจะพัฒนาสู่การเห็นความเป็นจริงตามวิปัสนา
หลายท่านกำลังฝึกการนั่งสมาธิ และฝึกมาหลายที่ จนทำให้งง ว่าตกลงแล้วต้องเร่ิมตรงไหนทำอย่างไรก่อน แล้วดูลมหายใจ พุทโธ จะเร่ิมอย่างไรกับสมาธิ บทความนี้มีมาฝากรับรอง ไม่หลงเพราะทำตาม ครูอาจารย์ที่ท่านได้ปฏิบัติดี
หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง ท่านได้ให้ไว้ คือ ทำจิตให้สงบเสียก่อน ที่เราเรียกว่า สมถะ ความสงบอยู่ที่เรา ไม่ได้อยู่ที่สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ควบไปกับ ลมหายใจ อานาปณสติ ไม่ต้องสนใจใด ๆ ให้รู้อย่างเดียว ไม่ต้องไปบังคับ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ทำไปเรื่อย ๆ จะพัฒนาขึ้นเอง
แล้วจะเห็นความอัศจรรย์จากจิตที่สงบ นัตถิ สันติ ปะรัง สุขขัง ไม่มีสุขใดเหนือกว่า ความสงบ
สมาธิ คืออะไร
สมาธิ (บาลี: Samādhi; สันสกฤต: समाधि) หมายถึงความสำรวมใจให้แน่วแน่เพื่อให้จิตใจสงบหรือเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง[1]
การทำสมาธิมีปรากฏในหลายศาสนา เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู และลัทธิเต๋า และยังคงรวมถึงสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา เช่น โยคะ
เครดิตเพจ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4
การสำรวมภาวะของจิตใจ ให้แน่วแน่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อทำให้จิตใจมีความนิ่งเงียบสงบ และนำไปสู่การเกิดสติปัญญา มักจะเรียกควบคู่ว่า สติสัมปชัญญะ (สติคือ ความรำลึกได้ สัมปรัญญะคือความรู้ตัว) สมาธิต้องอาศัยจิตเข้ามารู้ตัวสมาธิ แปลตามบาลีแปลว่าอะไร
สมาธินั้น ตามบาลีนั้นแปลว่า ความตั้งใจมั่น การทำสมาธิในทางพุทธศาสนา เรียกว่าสมถะ
สมาธิแบ่งออกเป็น 3 ระดับ
1. ขฌิกสมาธิ
คือ สมาธิชั่วขณะ ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถนำมาใช้การงานในชีวิตประจำวัน เช่นใช้อ่านหนังสือ หรือขับรถขณิกสมาธิ เหมือนเด็กที่เพิ่งหัดเดินขณิก(ชั่วขณะ) + สมาธิ(ความทรงไว้พร้อม ความตั้งมั่น)สมาธิที่เป็นไปชั่วขณะ หมายถึง เอกัคคตาเจตสิกที่เกิดกับจิต ที่เป็นไปตามปกติของบุคคลทั่วไป เช่น ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สัมผัส ขณะที่ยืน เดิน นั่ง นอนตามปกติ ก็มีขณิกสมาธิเกิดร่วมด้วย
2. อุปจารสมาธิ
สมาธิเฉียด ๆ หรือจวนจะแน่วแน่ อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่มากกว่าขณิกสมาธิ แต่แน่วแน่น้อยกว่าอุปจารสมาธิ เหมือนเด็กที่เดินได้คล่องและเร่ิมจะวิ่งเป็นสมาธิที่เริ่มเป็นหนึ่ง ข้อสังเกตง่ายๆ ของผู้ปฏิบัติสมาธิ คืออารมณ์กรรมฐานเริ่มเป็นหนึ่ง เสียงหรืออารมณ์ภายนอกไม่สมารถเข้ามารบกวน ให้อารมณ์กรรมฐานถอยออกมาง่าย
3. อัปปนาสมาธิ
สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท เป็นการเจริญสมาธิในขั้นฌาน ถือเป็น ความสำเร็จสูงสุดของการเจริญสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไปอัปปะนาสมาธิของปฐมฌาน เปรียบดังเด็กที่วิ่งได้อย่างคล่องแคล่วหมายถึงหมดความรู้สึกไปชั่วขณะหรือเป็นขณะๆ หรือเป็นวัน ตามกำลังสมาธิและความชำนาญ

สมาธิ นั้นต้องทำสมะ หรือ วิปัสสนา ก่อน ทำอะไรก่อนกันแน่
เป็นคำถามที่พบเจอบ่อยมากกับผู้ที่ฝึกสมาธิ
เพราะ อาจารย์นั้นบอกอย่างนั้น อาจารย์นี้บอกอย่างนี้ คนนั้นบอกให้ทำสมถะก่อน บางคนบอกว่าทำ วิปัสนาเลย ทำให้เกิดความลังเล
ถ้าโดยพื้นฐานตามปกติ เบื้องต้นแล้ว ควรทำให้เกิดจิตที่เป็นสมถะ หรือ ให้จิตสงบนิ่ง ให้ได้ก่อน เพราะคนเรามีสติปัญญา และ วาสนา(บุญของเก่า) ไม่เท่ากัน
เพราะบางคนมีจิตที่สงบและเป็นสมาธิง่าย หรือ มีจิตที่เข้มเข้มมาตั้งแต่เดิม ลองนึก บางคนกกลัวงู แต่บางคนไม่กลัวงู บางคนจับจิ้งจกได้ แต่บางคนกลัวจิ้งจก จะเห็นได้ว่าพื้นฐานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้น ถ้าจะให้เร่ิมขั้นต้นได้ง่ายไม่ต้องไปคิดอะไรมากว่าอ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็ให้กำหนดรู้ว่า ไม่เข้าใจ และทำเดินสมาธิต่อไป นั่งดูให้จิตเป็นสมถะ พอจิตนั่งแล้ว การจะเข้าไปดูวิปัสนากรรมฐาน ก็จะเห็นชัดได้ง่าย ไม่สงสัยลังเลย
การฝึกสมาธิเบื้องต้นทำอย่างไร
การฝึกสามาธิที่นิยมคือ อานาปานสติ คือ กำหนดจิตให้ตั้งมั่นใน ลมหายใจ กำหนดรู้เข้า หายใจออก กำหนดให้รู้ลมหายใจออก เมื่อลมผ่านที่ปลายจมูกเข้ามาให้กำหนดรู้ ค่อยปล่อยผ่านลงท้อง ไม่ต้องไปบังคับมันว่าลมต้องผ่าน ได้เท่าไหนก็ปล่อยลงไปถึงตรงนั้น ถ้าให้ดีค่อย ๆปล่อยถึงท้อง โดยผ่านลงมาจากหน้าอกสู่ท้อง หรือบางครั้งหลายท่านมักเรียกว่า กำหนดลมมาที่สะดือ แล้วปล่อยลมออก มาที่ปลายจมูก รับรู้อย่างนี้เรื่อยไป ไม่ต้องเร่งรีบ ได้เท่าไหนทำเท่านั้น เดี๋ยวจิตจะพัฒนาความรู้สึกไปเรื่อย ไม่ต้องไปบังคับ ปล่อยตามสบายให้ เน้นว่า รู้เท่านั้น ว่าลมเข้ามาแล้ว และลมออกมาแล้วที่ปลายจมูก
นั่งสมาธิกำหนดกายนั่งอย่างไร
ตั้งกายให้ตรง สติให้ตั้งมั่น แล้วกำหนดรู้ลม เน้นยำ เอาแค่กำหนดรู้ลม ไม่ต้องไปบังคับ เพราะจิตมนุษย์มันจะชอบท่องเที่ยว พอหลับตาก็จะเหมือนลิงกระโดดไปตามต้นไม้ต่าง ๆ จึงแนะนำว่าให้กำหนดรู้ ถ้าจิตส่งออกไปข้างนอกคิดถึง คนโน้น คนนี้ ก็ปล่อยมัน แล้วพอรู้ตัว ก็มานั่งดูลมหายใจใหม่ ทำอย่างนี้เรื่อยไป สักระยะ จิตจะเร่ิมอยู่กับที่ที่ลมหายใจ จึงเร่ิมเข้าสู่ สมาธิที่เกิดตามระดับต่าง ๆ
เครดิต จากบทความ https://dharayath.com/