สวดมนต์ข้ามปี 2566 สู่ปี 2567 พร้อมพิกัดวัดดัง เสริมมงคลแก่ชีวิต รับปีมะโรง

สวดมนต์ข้ามปี 2566 สู่ปี 2567 พร้อมพิกัดวัดดัง เสริมมงคลแก่ชีวิต รับปีมะโรง

สวดมนต์ข้ามปี นั้นเป็นที่นิยมกับชาวพุทธเป็นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะจะทำให้รู้สึกจิตใจมีความเบิกบานเหมือนได้รับพลังที่สะอาดสู่จิตใจที่มี ศีล สมาธิ และปัญญา ที่ได้รับจากการสวดมนต์ ซึ่งเป็นการสร้างอานิสงส์และขวัญกำลังใจที่ดี ต่อการก้าวข้ามสู่ปีใหม่ 2567

บท สวดมนต์ข้ามปี ที่นิยมมีดังนี้

บทสวดมนต์ข้ามปี มีดังนี้

บทที่ 1 คำกล่าวบูชาพระรัตนตรัย

อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ
อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง อะภิปูชะยามิ
อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง อะภิปูชะยามิ

บทที่ 2 บทกราบพระรัตนตรัย

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ)

บทที่ 3 นมัสการพระพุทธเจ้า

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (3จบ)

บทที่ 4 สมาทานศีล 5

ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ

บทที่ 5 บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย 

บทพระพุทธคุณ
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
วิชา จะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถา
เทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ

บทพระธรรมคุณ
สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม
สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก
โอปะนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ

บทพระสังฆคุณ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ยะทิทังจัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

บทที่ 6 บทมงคลสูตร(ป้องกันอันตราย เพิ่มสิริมงคลรับปีใหม่)

เอวัมเม สุตัง ฯ
เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน
อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา
อะภิกกันตายะ รัตติยา อภิกกันตะวัณณา
เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตะวา
เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะมิ
อุปะสังกะมิตะวา ภะคะวันตัง อภิวาเทตะวา
เอกะมันตัง อัฏฐาสิ เอกะมันตัง ฐิตา โข สา เทวะตา
ภะคะวันตัง คาถายะ อัชฌะภาสิ
พะหู เทวา มะนุสสา จะ มัคะลานิ อะจินตะยุง
อากังขะมานา โสตถานัง พรูหิ มังคะละมุตตะมัง
อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา
ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา
อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะ วินะโย จะ สุสิกขิโต
สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
มาตาปิตุอุปัฏฐานัง ปุตตะทารัสสะ สังคะโห
อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห
อะนะวัชชานิ กัมมานิ เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
อาระตี วิระตี ปาปา มัชชะปานา จะ สัญญะโม
อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
คาระโว จะ นิวาโต จะ สันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา
กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง
กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง

นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ
อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
เอตาทิสานิ กัตวานะ สัพพัตถะมะปะราชิตา
สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติฯ

บทที่ 7 บทโพชฌังคปริตร (หายจากโรคภัย สุขภาพดีรับปีใหม่)

โพชฌังโค สะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา
วิริยัมปีติปัสสัทธิ โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร
สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเต เต สัพพะทัสสินา
มุนินา สัมมะทักขาตา ภาวิตกา พะหุลีกะตา
สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต สัพพะทาฯ
เอกัสะมิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง
คิลาเน ทุกขิเต ทิสะวา โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ
เต จะ ตัง อะภินันทิตะวา โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ
เอะทา ธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต
จุนทัตเถเรนะ ตัญเญนะ ภะนาเปตะวานะ สาทะรัง
สัมโมทิตะวา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหนตุ สัพพะทาฯ
ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสินัง
มัคคาหะตะกิเลสาวะ ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ

บทที่ 8 บทพุทธชัยมงคลคาถา (ชนะอุปสรรคทั้งปวง พบความสำเร็จในปีใหม่)

พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมังวิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญฯ

บทที่ 9 บทแผ่เมตตา

แผ่เมตตาให้แก่ตัวเราเอง
อะหัง สุขิโต โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข)
อะหัง นิททุกโข โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์)
อะหัง อะเวโร โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร)
อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง)
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ (ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขกายสุขใจ รักษากายวาจาใจให้พันจากความทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด)

บทแผ่เมตตาทั่วไป
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อะเวราโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
อัพยาปัชฌาโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อะนีฆาโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น เถิดฯ

กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล
อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตา ปิตะโร
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า จงมีความสุข

อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุข

อิทัง เม คุรูปัชฌายาจะริยานังโหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจะริยา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า จงมีความสุข

อิทัง สัพพะ เทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข

อิทัง สัพพะ เปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข

อิทัง สัพพะ เวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เวรี
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข

อิทัง สัพพะ สัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข

 

สวดมนต์ข้ามปี พิกัดในพื้นที่กรุงเทพ

วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร

วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร (สนามหลวง) ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เสริมบุญบารมีส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2567 หรือร่วมสวดมนต์ผ่านระบบออนไลน์ โดยผู้ร่วมสวดมนต์ข้ามปีที่วัดมหาธาตุฯ สามารถรับพระสมเด็จอรหังเป็นที่ระลึกบูชา (สงวนสิทธิ์สำหรับผู้มาลงทะเบียนเท่านั้น)

พร้อมกันนี้ยังสามารถร่วมงานสมโภชพระอารามหลวง 338 ปี วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ได้ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2566-2 มกราคม 2567 เวลา 08.30-22.00 น.

สำหรับการสวดมนต์ข้ามปี เริ่มในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 19.00 น.เป็นต้นไป โดยรับชมการถ่ายทอดสดได้ผ่านทาง Facebook Live : งานสมโภชพระอารามหลวง ๓๓๘ ปี วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ มาสั่งสมเสบียงบุญ เกื้อหนุนพระศาสนา โดยการร่วมบูรณปฏิสังขรณ์ ปรับภูมิทัศน์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ให้งามสง่าสืบไป

  • จอดรถที่ลานจอดรถสนามหลวง มีรถรับส่งฟรี

วัดอรุณราชวราราม

วัดอรุณราชวราราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ขอเชิญพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีสวดมนต์ข้ามปี เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2567 ในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เวลา 21.00 น.เป็นต้นไป

พร้อมทำบุญตักบาตรพระภิกษุ สามเณร 121 รูป รอบพระพุทธปรางค์ ในวันที่ 1 มกราคม 2567 เวลา 07.30 น. เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)

สำหรับวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ จัดพิธีสวดมนต์ข้ามปี เสริมสิริมงคล ต้อนรับปีใหม่ 2567 วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นไป โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊กวัดโพธิ์ ท่าเตียน Wat Pho

วัดสระเกศ

วัดสระเกศ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ขอเชิญร่วมกิจกรรม พิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ เสริมสิริมงคลแก่ชีวิต ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2567 วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ผู้มาร่วมงานสามารถรับน้ำพระพุทธมนต์ ผ้ายันต์แดงห่มองค์พระเจดีย์ และปฏิทินปีใหม่ โดยมีกำหนดการ ดังนี้

  • 19.30 น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” พระสงฆ์ 19 รูป
  • 21.00 น. ทำวัตรค่ำ ณ พระอุโบสถ
  • 21.30 น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์นั่งอธิษฐานจิต โดยพระมหาเถระวัดสระเกศ
  • 23.00 น. กล่าวสัมโมทนียกถา ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ โดยพระเดชพระคุณพระธรรมโพธิมงคล เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เจ้าคณะภาค 2
  • 23.30 น. การเจริญจิตภาวนา แผ่เมตตา
  • 00.00 น. พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา 9 จบ ลั่นฆ้องระฆังมงคลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ พระเดชพระคุณพระธรรมโพธิมงคล ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ พระสงฆ์อนุโมทนาคาถา (ให้พร)

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เขตดุสิต ขอเชิญร่วมสวดมนต์ข้ามปี “วิถีใหม่ วิถีไทย วิถีธรรม พุทธศักราช 2567” วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นไป โดยมีกำหนดการ ดังนี้

วันที่ 31 ธันวาคม 2566

  • เวลา 18.00 น. พุทธศาสนิกชนเข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี
  • เวลา 18.30 น. คณะสงฆ์วัดเบญจมบพิตรฯ พุทธศาสนิกชน สวดมนต์-ทำวัตรเย็น
  • เวลา 20.30 น. พิธีบูชานพเคราะห์ เสริมดวงชะตา และพิธีสืบชะตาเสริมบารมี ทำความดีรับปีใหม่
  • เวลา 23.30 น. คณะสงฆ์วัดเบญจมบพิตรฯ เจริญพระพุทธมนต์
  • เวลา 23.59 น. คณะสงฆ์วัดเบญจมบพิตรฯ เจริญชยมงคลคาถา, ประพรมน้ำพระพุทธมนต์, ตีกลอง ลั่นฆ้องชัย รับศักราชใหม่ 2567, พระเดชพระคุณพระธรรมวชิราธิบดี เจ้าอาวาสกล่าวโอวาทธรรมศักราชใหม่

วันที่ 1 มกราคม 2567

  • เวลา 06.00 น. คณะสงฆ์และสาธุชน พร้อมกัน ณ พระอุโบสถ สวดมนต์ ทำวัตรเช้า รับอรุณศักราชใหม่ 567 และสาธุชนร่วมกันทำบุญตักบาตรต้อนรับศักราชใหม่

วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร

วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร ขอเชิญชวนสวดมนต์ข้ามปี เสริมศิริมงคล ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เริ่มตั้งแต่เวลา 20.30 น. เป็นต้นไป และรับประพรมน้ำพุทธมนต์ เวลา 00.00 น.

วัดหัวลำโพง

วัดหัวลำโพง เขตบางรัก วัดดังใจกลางกรุงที่โดดเด่นเรื่องการทำบุญโลงศพ ปีนี้ได้จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ขอเชิญพุทธศาสนิกชน ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 22.00 น.เป็นต้นไป

วัดเสมียนนารี

วัดเสมียนนารี เขตจตุจักร ขอเชิญร่วมสวดมนต์ข้ามปี สิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้น ตลอดปี 2567 ในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยมีกำหนดการ ดังนี้

วันที่ 31 ธันวาคม 2566

  • 21.00 น. พุทธศาสนิกชนเข้าร่วมสวดมนต์ข้ามปี
  • 21.30 น. พระเดชพระคุณ พระเทพวรสิทธาจารย์ เจ้าอาวาสวัดเสมียนนารี พร้อมด้วยคณะสงฆ์ ประจำยังอาสน์สงฆ์รับรอง
  • จุดเทียนบูชาพระพุทธรัตนมุนีศรีศากยวงศ์, จุดเทียนบูชาเทพนักษัตร เสริมดวงชะตา เสริมบารมี, คณะสงฆ์นำพุทธศาสนิกชน เจริญพระพุทธมนต์ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
  • 23.59 น. คณะสงฆ์เจริญชยมงคลคาถา ตีกลอง ลั่นฆ้องชัย ลั่นระฆังรับศักราชใหม่ 2567, ถวายสังฆทานรับขวัญปีใหม่, พระเดชพระคุณ พระเทพวรสิทธาจารย์ กล่าวโอวาทธรรมคำพร, กรวดน้ำ รับพร ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี

วันที่ 1 มกราคม 2567

  • 07.00 น. พุทธศาสนิกชน พร้อมกัน รอบพระอุโบสถ ร่วมกันทำบุญตักบาตรต้อนรับวันแรกของปีใหม่
  • 08.00 น. พระเดชพระคุณ พระเทพวรสิทธาจารย์ นำคณะสงฆ์รับบาตร

สวนโมกข์กรุงเทพ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพ) ชวนร่วมเทศกาลเจริญสติ สวดมนต์ภาวนาข้ามปี พุทธศักราช 2566 “ปีใหม่ชีวิตใหม่ ปีแห่งการรู้ตัว ดูใจ” วันที่ 31 ธันวาคม 2566-1 มกราคม 2567

ทั้งนี้ ในโอกาสส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่นี้ สวนโมกข์กรุงเทพ ได้จัดงานตลอดเดือนธันวาคม ทั้งกิจกรรมทำบุญเพื่อเจริญในทานและภาวนา ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา และกิจกรรมมากมาย ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2566-1 มกราคม 2567

ขอบคุณจากเพจ https://www.prachachat.net/d-life/news-1467337

อานิสงส์ที่ได้รับจาก สวดมนต์ข้ามปี

ทำให้มีสุขภาพดี การสวดมนต์ด้วยการออกเสียง ช่วยให้ปอดได้ทำงาน เลือดลมเดินสะดวก ร่างกายก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า

๒. คลายความเครียด ในขณะสวดมนต์จิตจะจดจ่อกับบทสวด สมองจะปลอดโปร่ง ไม่คิดในเรื่องที่ทำให้เครียด จึงทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย

๓. เกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย บทสวดมนต์แต่ละบทเป็นการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย เมื่อสวดมนต์ไปก็เท่ากับว่าได้เพิ่มพูนศรัทธาความเชื่อเลื่อมใสในพระรัตนตรัยให้มั่นคงยิ่งขึ้น

๔. ขันติบารมีย่อมเพิ่มพูน ขณะที่สวดมนต์ต้องใช้ความอดทนอย่างสูงเพื่อเอาชนะความปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย รวมทั้งอารมณ์ฝ่ายต่ำที่จะเข้ามากระทบจิตใจทำให้เกิดความเกียจคร้าน ดังนั้น ยิ่งสวดบ่อยๆ ความอดทนก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น

๕. จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขณะที่สวดมนต์จิตจะจดจ่ออยู่กับบทสวดไม่วอกแวกวุ่นวายไปในที่อื่น จึงมีความสงบเกิดสมาธิมั่นคง สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส งดงาม แม้เพียงระยะเวลาน้อยนิด ก็เป็นบุญกุศลประมาณค่าไม่ได้

เครดิตข้อมูลจากเพจ https://www.vstarproject.com/vstarproject/page/news.php?nId_blog=577

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จากเพจ www.dharayath.com

อโหสิกรรม เพื่อขอขมาผู้ล่วงลับ ลดกรรมได้จริงหรือไม่

อโหสิกรรม เพื่อขอขมาผู้ล่วงลับ ลดกรรมได้จริงหรือไม่

พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าใครทำกรรมใดไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้ กรรมใดใครก่อไว้แล้วในเมื่อใจเป็นผู้จงใจทำลงไปแล้วเป็นกรรมอันเป็นบาป ภายหลังจึงมานึกได้และไม่ต้องการผลของบาป มันก็หลีกเลี่ยงปฏิเสธไม่ได้เพราะใจเป็นผู้สั่งให้กาย วาจา ทำลงไป พูดลงไป

อโหสิกรรม นั้นเป็นผลสะท้อนทางจิตใจที่ต้องการให้ผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นได้รับรู้ถึงจิตใจที่ไม่ต้องการผูกพยาบาทซึ่งกันและกัน นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการให้อภัยทานซึ่งนับได้ว่าเป็นทานอันยิ่งใหญ่ เพื่อให้กรรมที่ได้ทำไว้ลดความผูกพยาบาท จึงมักจะเร่ิมจากการขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน และลำดับต่อมาได้แก่ การเข้าสู่การปฏิบัติ ตามหลัก ศีล สมาธิ และปัญญา หรือองค์มรรคแปด โดยมีหลักอิทธิบาทสี่ เป็นกำลังใจ เพื่อนำพาไปสู่หนทางของนิพพาน

การขออโหสิกรรม คืออะไร

อโหสิกรรม คือ กรรมที่เลิกแล้วต่อกัน ไม่ส่งผลแก่ผู้กระทำกรรมในภพชาติต่อๆ ไปการขออโหสิกรรม คือ การขอโทษในสิ่งที่ตนทำผิดต่อผู้อื่นด้วยใจจริง การให้อโหสิกรรม คือ การให้อภัยต่อความผิดพลาดพลั้งที่ผู้อื่นกระทำต่อตน

 

บทสวด ขออโหสิกรรม

สวดบทขอขมาอโหสิกรรมเจ้ากรรมนายเวร

กายะกัมมัง วะจีกัมมัง มะโนกัมมัง สัญจิจจะกัมมัง
อะสัญจิจจะกัมมัง ขะมันตุ เม อะโหสิกัมมัง ภะวะตุ เม”

เจ้ากรรมนายเวร มีทั้งฝ่ายดีและไม่ดี(เครดิตจาก https://www.thairath.co.th/news/local/670186)

ฝ่ายดี คือคอยส่งเสริมให้เราเจริญก้าวหน้า โยมทั้งหลาย บางครั้งเจ้ากรรมนายเวรก็มาในรูปแบบของคำว่าแฟน หรือบางทีก็มาในรูปแบบเพื่อนร่วมงาน ถ้าเป็นแฟนก็เป็นแฟนที่ดี เรียกว่าคู่แท้ ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานก็เป็นกัลยาณมิตร มิตรที่ดีที่คอยแนะนำส่งเสริมให้เราเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

ฝ่ายไม่ดี ก็จะการเบียดเบียนให้เดือดร้อนทุกข์ยากลำบาก ถ้าเป็นแฟนก็จะเป็นคู่กัด ทะเลาะกันทุกวัน แต่ก็ไม่จากกันไปไหน เพราะว่ากรรมนำพาให้อยู่ด้วยกัน เพื่อนร่วมงานก็เหมือนกัน จะคอยอิจฉา เห็นใครดีเป็นไม่ได้ ต้องคอยเตะตัดขาอยู่เรื่อย

อโหสิกรรม ตามหลักพระพุทธศาสนา เชื่อว่า ?

1) กรรมเบาบาง อยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น สำเร็จในชีวิตนี้ และส่งผลชีวิตหน้า 

บุคคลที่ทำกรรมดีหรือกรรมชั่วโดยมีเจตนาในการทำกรรมนั้น จะต้องได้รับผลกรรมตามสมควรแก่การกระทำของตน คนที่ทำร้ายผู้อื่นคนที่คดโกงหรือฉ้อราษฎร์บังหลวงก็จะได้รับผลกรรมนั้น หรือแม้ไม่ได้รับกรรมในชาตินี้ กรรมก็จะติดตามไปส่งผลในชาติหน้า

แต่กรรมที่ทำไว้นั้นถ้าเป็นกรรมเบาอาจจะไม่ส่งผลก็ได้ หากทำให้กรรมนั้นเป็นอโหสิกรรม 
นั่นคือ ในฐานะที่ชาวพุทธ เมื่อได้ประพฤติล่วงเกินผู้อื่น ก็ควรขอให้ผู้นั้นยกโทษให้ และในทำนองเดียวกันหากมีผู้มาขออโหสิกรรมจากเรา ก็ควรยกโทษให้ ไม่อาฆาต พยาบาท จองเวรกัน เมื่อปฏิบัติได้เช่นนี้ก็จะก่อให้เกิดความรักใคร่กัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข

2) อานิสงส์สูง เพราะละการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ยกระดับก้าวสู่มรรคผลนิพพาน

อโหสิกรรมหรืออภัยทาน-สามารถทำได้จากความเมตตาที่มีอยู่เพียงพอในจิตใจ จึงมีอานิสงส์ใกล้เคียงกับธรรมทาน ที่ถือว่ามีอานิสงส์สูง เพราะเป็นการให้ปัญญา-แสงสว่างเพื่อพัฒนาจิตใจของผู้อื่นให้ก้าวหน้าไปสู่มรรค-ผล-นิพพานในที่สุดต่อไปตามวาสนาบารมีแห่งตน

คำอธิษฐานอโหสิกรรม
ข้าพเจ้า…..(บอกชื่อ)…ขออโหสิกรรม กรรมใดที่ทำแก่ผู้ใด ในชาติใดๆ ก็ตาม ขอให้เจ้ากรรมและนายเวร จงอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้า อย่าได้จองเวรจองกรรมต่อไปเลย แม้แต่กรรมที่ใครๆ ได้ทำกับข้าพเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น และขอยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อไป ด้วยอานิสงส์แห่งอภัยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัว บุตรหลาน ตลอดจนวงศาคณาญาติ และผู้มีอุปการคุณของข้าพเจ้า จงมีความสุข ความเจริญ ปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี และสิ่งที่ชอบด้วยเทอญ

คำขอขมาโทษ (กรรมชั่ว)
กรรมชั่วอันใดที่ข้าพเจ้า…..(บอกชื่อ)…ทำไว้ ด้วยกาย วาจา ใจ ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ เพราะความไม่รู้ เพราะความหลง เพราะความงมงาย เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขอจงโปรดยกโทษ ให้ข้าพเจ้าพ้นจากความทุกข์ยาก ลำบากเข็ญใจ อันตรายทั้งหลาย จงเสื่อมสูญสิ้นไป ข้าพเจ้าปรารถนาสิ่งใดที่ดี ขอให้สมปรารถนา นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ. (อธิษฐานตามที่ปรารถนา)

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 จบ
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต

หากข้าพเจ้า จงใจหรือประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินบิดา-มารดา ครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้า ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงผู้มีพระคุณ และท่านเจ้ากรรมนายเวร จะด้วยกาย วาจา ใจ

ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย หากข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมา ข้าพเจ้าขออนุญาตมีคู่ มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป ขอถอนคำอธิษฐาน คำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีตขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระ ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูก ที่ชอบ ที่ควร ขอบุญบารมีในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัว ตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้อง จงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ลาภ ยศ สรรเสริญ สติปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ อุปสรรคใด ๆ โรคภัยใด ๆ ขอให้มลายสิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่างทั้งทางโลกและทางธรรม ตั้งแต่บัดนี้จนตราบเข้าสู่นิพพานเทอญ

เครดิต ข้อมูลดีๆ https://dharayath.com/

ตัดกรรม คืออะไร ตัดได้จริงหรือไม่ คำสอนของพระพุทธเจ้าตัดกรรมได้หรือไม่

ตัดกรรม คืออะไร ตัดได้จริงหรือไม่ คำสอนของพระพุทธเจ้าตัดกรรมได้หรือไม่

ในพระพุทธศาสนานั้น ไม่ได้สอนให้คนทำบุญแล้วกรรมที่เคยทำน้ันจะหาย หรือ ไปทำพิธีตัดกรรมใด ๆ แล้วจะทำให้ชีวิตดีขึ้น มาจากการทำพิธีนั้น ๆ  แต่จุดมุ่งหมายของศาสนาพุทธ คือ การให้เข้าถึงปัญญาของการหลุดพ้น และ เห็นการเป็นไปของ ไตรลักษณ์ ซึ่งเป็นเครื่องขนทุกข์ออกจากใจของสัตว์โลก เมื่อปฏิบัติตามคำสั่งสอนแล้ว จะทำให้เกิดปัญญา เห็นการตัดกรรมที่แท้จริงในคำสั่งสอน ด้วย หัวใจคำสอน คือ องค์มรรค8 หรือ ที่เราเรียกกัน บ่อย ๆ ว่า ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา

แต่การเร่ิมต้น ตัดกรรม นั้นมักจะมาจากการ ทำบุญ ทำทาน เพื่อละความโลก ซึ่งนำมาสู่ขั้นตอนต่อไปคือ ถือศีล เพื่อรักษาความดีนั้นไว้และรักษาไม่ให้ใจทำความชั่ว  จากนั้นจิตที่มีพื้นฐานที่ต้องสร้างให้เห็นถูกต้องนั้น มีความเข้าใจต่อการเป็นไปของกฏแห่งกรรม ซึ่งไม่มีใครจะหนีพ้นได้  จึงต้องอาศัยการภาวนา และ สร้างสติ เพื่อให้ใจนั้นเข้าไปน้อมถึง กฏ ไตรลักษณ์ เห็นว่า โลกนี้สุดท้ายแล้ว ไม่มีใครจะเป็นอมตะและหนีการตายไม่พ้น จุดนี้คือ การตัดกรรม ที่แท้จริงที่คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นท่านได้ประทานเอาไว้ให้กับชาวโลก

ตัดกรรมคืออะไร และมีความหมายอย่างไร

ขอบคุณที่มาข้อมูล จากเพจ https://dharayath.com/การ-ตัดกรรม/

การ ตัดกรรม คือ การหยุดทำความชั่วหยุดทำบาป ส่วนการตัดเวร คือ การหยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน คือไม่แก้แค้นซึ่งกัน และกันรู้จักคำว่าให้อภัยซึ่งกันและกัน และผู้ที่ทำผิดก็ให้รู้จักคำว่าขอโทษ ผู้ที่ถูกขอโทษก็รู้จักคำว่าให้อภัย อันนี้เป็นอุบายตัดกรรมตัดเวร

กรรมคืออะไร ข้อมูลจาก (https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1_(%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98)

ในพระพุทธศาสนา กรรม (สันสกฤตकर्म กรฺม, บาลีกมฺม) แปลว่า “การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา” ได้แก่ กระทำทางกาย เรียก กายกรรม ทางวาจา เรียก วจีกรรม และทางใจ เรียก มโนกรรม

กรรม มีอะไรบ้าง

กรรม 2 (การกระทำ, การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ทางกายก็ตาม ทางวาจาก็ตาม ทางใจก็ตาม – Kamma: action; deed) 

  1. อกุศลกรรม (กรรมที่เป็นอกุศล, กรรมชั่ว, การกระทำที่ไม่ดี ไม่ฉลาด ไม่เกิดจากปัญญา ทำให้เสื่อมเสียคุณภาพชีวิต หมายถึง การกระทำที่เกิดจากอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ หรือโมหะ – Akusala-kamma: unwholesome action; evil deed; bad deed) เป็นบาป กรรมชั่ว ความชั่วร้าย ความเสียหาย ความไม่ถูกต้อง ซึ่งให้ผลเป็นความทุกข์ เป็นสิ่งที่ควรเว้น การกระทำบาป กระทำความชั่ว เรียกว่าทำอกุศลกรรม เรียกย่อว่า ทำอกุศล หรือเรียกว่า ทำบาปอกุศล อกุศลกรรมเกิดมาจากอกุศลมูลอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 อย่างคือ โลภะ โทสะ โมหะ เพราะเมื่อเกิดอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็เป็นเหตุชักนำใจให้คิดทำอกุศลกรรม เช่นเมื่อโลภะเกิดขึ้นก็เป็นเหตุให้คิดอยากได้ เมื่ออยากได้ก็แสวงหา เมื่อไม่ได้ตามต้องการด้วยวิธีสุจริต ก็เป็นเหตุให้ทำอกุศลกรรมอื่นต่อไป เช่น ลักขโมย ปล้น จี้ ฉ้อโกง เป็นต้น
  2. กุศลกรรม (กรรมที่เป็นกุศล, กรรมดี, การกระทำที่ดี ฉลาด เกิดจากปัญญา ส่งเสริมคุณภาพของชีวิตจิตใจ หมายถึง การกระทำที่เกิดจากกุศลมูล คืออโลภะ อโทสะ หรืออโมหะ -Kusala-kamma: wholesome action; good deed) เป็นบุญ ความดี ความถูกต้อง ซึ่งให้ผลเป็นความสุขโดยส่วนเดียว การทำบุญ การทำความดี เรียกว่า ทำกุศลกรรม หรือเรียกย่อว่าทำกุศล กุศลกรรมที่ควรทำเป็นประจำได้แก่ ให้ทาน เสียสละ รักษาศีล อบรมจิตใจ เจริญภาวนา เรียกย่อว่าบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ซึ่งสามารถทำได้โดยบรรเทาความโลภ ความโกรธ ความหลงให้น้อยลง เพราะถ้ายังมีความโลภ ความโกรธ ความหลงเต็มจิตอยู่ ก็ไม่สามารถทำกุศลกรรมอะไรได้

ทางตัดกรรม หรือที่ เรียกว่า หนทางดับทุกข์ ที่แท้จริง คือ องค์มรรค 8

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

https://www.tewfree.com/%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%848/

 

มรรค 8 หมายถึง หนทางสู่การดับทุกข์ ประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิได้รวบรวมสรุปมรรค 8 พร้อมความหมายของแต่ละประการ

มรรค 8 คือหนทางสู่การดับทุกข์ และ ตัดกรรม ให้พ้นทุกข์

มรรค คือ หนทางสู่ความดับทุกข์ เป็นหนึ่งใน อริยสัจ 4 จึงเรียกอีกอย่างว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หรือการลงมือปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากทุกข์ ประกอบด้วยองค์ประกอบ 8 ประการ ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่าอริยมรรคมีองค์ 8 นี้เป็นทางสายกลาง คือเป็นข้อปฏิบัติอันพอดีที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้น

ตามวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าทรงอธิบายรายละเอียดไว้ดังนี้

สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นที่ถูกต้อง) หมายถึง ความรู้ในอริยสัจ 4
สัมมาสังกัปปะ (ความคิดที่ถูกต้อง) หมายถึง ความคิดในการออกจากกาม ความไม่พยาบาท และการไม่เบียดเบียน
สัมมาวาจา (วาจาที่ถูกต้อง) หมายถึง การเว้นจากการพูดเท็จ หยาบคาย ส่อเสียด และเพ้อเจ้อ
สัมมากัมมันตะ (การปฏิบัติที่ถูกต้อง) หมายถึง เจตนาละเว้นจากการฆ่า โจรกรรม และการประพฤติผิดในกาม
สัมมาอาชีวะ (การหาเลี้ยงชีพที่ถูกต้อง) หมายถึง การเว้นจากมิจฉาชีพ การละเว้นจากอาชีพฆ่าสัตว์ อาชีพที่เบียดเบียนผู้อื่น
สัมมาวายามะ (ความเพียรที่ถูกต้อง) หมายถึง สัมมัปปธาน 4 คือ ความพยายามป้องกันอกุศลที่ยังไม่เกิด ละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ทำกุศลที่ยังไม่เกิด และดำรงรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
สัมมาสติ (การมีสติที่ถูกต้อง) หมายถึง สติปัฏฐาน 4
สัมมาสมาธิ (การมีสมาธิที่ถูกต้อง) หมายถึง ฌาน 4

https://dhamma.watchmekorat.com/teaching-and-dhamma/#%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%99%E0%B8%A3

 

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ คำสอนสำคัญ อื่น ๆ https://dhamma.watchmekorat.com/teaching-from-buddha/

ถวายผ้าไตรจีวรพระที่ใช้ในประเทศไทยมีกี่แบบ

ถวายผ้าไตรจีวรพระที่ใช้ในประเทศไทยมีกี่แบบ

แนะนำบทความดี  ๆ ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง ผ้าไตรจีวร อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าทำไม พระแต่ละวัดใส่สีจีวรไม่เหมือนกัน แต่ก็สีใกล้เคียงกัน และรวมถึงความหนาของผ้า

ผ้าไตร คืออะไร (ข้อมูลจาก dharayath.com)

คำว่า ไตร หมายถึง ไตรที่แปลว่า สาม ดังนั้นในความหมายของผ้าไตรในการแปลแบบตรงไปตรงมา ก็จะหมายถึง ผ้าสามผืนนั่นเอง ดังนั้น เมื่อเรากล่าวถึงผ้าไตร ก็จะเข้าใจตรงกันในความหมายเดียวกันคือ ผ้าสามผืนที่พระสงฆ์ใช้สำหรับนุ่งครอง

ซึ่งในผ้าไตร 3 ผืน ก็จะประกอบไปด้วย

  1. ผ้าจีวร หรือ ผ้าห่ม ซึ่งพระสงฆ์จะเรียกว่า อุตราสงค์
  2. ผ้าสบง หรือ ผ้านุ่ง ซึ่งพระสงฆ์เรียกว่า อันตรวาสก
  3. สังฆาฏิ หรือ ผ้าซ้อน/ผ้าพาดบ่า

ผ้าไตรจีวรโดยทั่วไปจะมี 2 แบบ คือ
1.ไตรครอง หรือ ไตรเต็ม (ใช้ตอนบวช) ประกอบด้วย

-จีวร : ผ้าที่ใช้สำหรับห่มคลุม

-สบง : ผ้าที่ใช้สำหรับนุ่งในส่วนล่าง

-อังสะ : เสื้อตัวในลักษณะคล้ายเสื้อกล้าม

-สังฆาฏิ : เป็นผ้าผืนใหญ่เหมือนจีวร แต่พระเอามาใช้พาดบ่า

-ผ้ารัดอก : ผ้าที่ใช้รัดอก เวลาพระเอาสังฆาฏิพาดบ่า เพื่อให้ดูกระชับและเรียบร้อย

-รัดประคต : คือเชือกไว้รัดสบง หมีหน้าที่เสมือนข็มขัดของพระ

-ผ้าประเคน : เป็นผ้าที่ใช้รับสิ่งของ

2.ไตรอาศัย(ใช้ในชีวิตประจำวัน) ประกอบด้วย

-จีวร : ผ้าที่ใช้สำหรับห่มคลุม

-สบง : ผ้าที่ใช้สำหรับนุ่งในส่วนล่าง

-อังสะ : เสื้อตัวในลักษณะคล้ายเสื้อกล้าม

ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อ ผ้าไตรจีวร | ผ้าไตรอาศัย มีเคล็ดลับในการเลือกซื้ออย่างไร

 

ผ้าไตร 5 ขันธ์ ผ้าไตร 9 ขันธ์ มีความแตกต่างกันอย่างไร ?

ผ้าไตรจีวร 5 ขัณฑ์และผ้าไตรจีวร 9 ขัณฑ์
ขัณฑ์ คือ ลักษณะของการเย็บผ้า จำนวนชิ้นผ้าที่ตัดขาดจากกัน นำมาเย็บต่อเข้าเป็นผืนเดียวกันเช่น

ผ้าไตร 9 ขัณฑ์ คือ ผ้า 9 ชิ้น ที่นำมาเย็บต่อเป็นผืนเดียวกันใช้เป็นสบงหรือจีวร (จำนวนขัณฑ์มาก จำนวนชิ้นผ้าก็เยอะตาม)

สำหรับพระวัดทั่วไป (มหานิกาย) นิยมถวาย ผ้าไตร 5 ขัณฑ์

สำหรับพระวัดป่ากรรมฐาน (ธรรมยุติ) นิยมถวายผ้าไตร 9 ขัณฑ์ เช่น วัดสายพระป่า  วัดป่านาคำน้อย หลวงพ่ออินทร์ถวาย

https://dhamma.watchmekorat.com/tag/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%96%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2/

ข่าวเกี่ยวกับหลวงพ่ออินทร์ถวาย

ขอบคุณข้อมูลจาก dharayath.com 

กฐิน และ ผ้าป่า คืออะไร ? และมีอานิสงส์เสริมดวงชีวิตอย่างไร

กฐิน และ ผ้าป่า คืออะไร ? และมีอานิสงส์เสริมดวงชีวิตอย่างไร

กฐิน เป็นศัพท์ในพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นชื่อเรียกผ้าไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว สามารถรับมานุ่งห่มได้ โดยคำว่าการทอดกฐิน หรือการกรานกฐิน จัดเป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่งตามพระวินัยบัญญัติเถรวาทที่มีกำหนดเวลา คือพระสงฆ์สามารถกระทำสังฆกรรมนี้ได้นับแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ และอนุเคราะห์ภิกษุผู้ทรงคุณที่มีจีวรชำรุด1 ดังนั้นกฐินจึงจัดเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังฆกรรมของพระสงฆ์โดยจำเพาะ ซึ่งนอกจากในพระวินัยฝ่ายเถรวาทแล้ว กฐินยังมีในฝ่ายมหายานบางนิกายอีกด้วย แต่จะมีข้อกำหนดแตกต่างจากพระวินัยเถรวาท

 

กฐินคืออะไร

กฐิน เป็นศัพท์บาลี แปลตามศัพท์ว่าไม้สะดึง คือ “กรอบไม้” หรือ “ไม้แบบ” สำหรับขึงผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรในสมัยโบราณ ซึ่งผ้าที่เย็บสำเร็จจากกฐินหรือไม้สะดึงแบบนี้เรียกว่า ผ้ากฐิน (ผ้าเย็บจากไม้แบบ)

อาจจำแนกตามความหมายเพื่อความเข้าใจง่ายได้ดังนี้

  • กฐินเป็นชื่อของกรอบไม้แม่แบบ (สะดึง) สำหรับทำจีวร ดังกล่าวข้างต้น
  • กฐินเป็นชื่อของผ้าที่ถวายแก่พระสงฆ์เพื่อกรานกฐิน (โดยได้มาจากการใช้ไม้แม่แบบขึงเย็บ)
  • กฐินเป็นชื่อของงานบุญประเพณีถวายผ้าไตรจีวรแก่พระสงฆ์เพื่อกรานกฐิน
  • กฐินเป็นชื่อของสังฆกรรมการกรานกฐินของพระสงฆ์

กฐินมีที่มาอย่างไร

กฐิน เป็นบุญถวายผ้าไตรจีวรแด่พระสงฆ์ ซึ่งจำพรรษาแล้ว เริ่มตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึง วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นเขตทอดกฐินตามหลักพระวินัย

มูลเหตุมีการทำบุญกฐินซึ่งมีเรื่องเล่าว่า พระภิกษุชาวเมืองปาฐา 30 รูป จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเชตวันมหาวิหาร แต่จวนใกล้กำหนดเข้าพรรษาเสียก่อน จึงหยุดจำพรรษาที่เมืองสาเกต พอออกพรรษาแล้วก็รีบพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทั้ง ๆ ที่ผ้าสบงจีวรเปื้อนเปรอะ เนื่องจากระยะทางไกลและฝน ผ้าสบงจีวรจึงเปียกน้ำและเปื้อนโคลน จะหาผ้าผลัดเปลี่ยนก็ไม่มี พระพุทธเจ้าทรงเห็นความลำบากของพระภิกษุเช่นกัน จึงมีพุทธบัญญัติให้พระภิกษุแสวงหาผ้าและรับผ้ากฐินได้ตามกำหนด จำกัดประเภททาน คือ ต้องเป็นถวายสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอย่างอื่นไม่ได้ จำกัดเวลา คือกฐินเป็นกาลทานอย่างหนึ่ง (ตามพระบรมพุทธานุญาต) ดังนั้นจึงจำกัดเวลาว่าต้องถวายภายในระยะเวลา 1 เดือน นับแต่วันออกพรรษา เป็นต้นไป จำกัดงาน คือ พระภิกษุที่กรานกฐินต้องตัด เย็บ ย้อม และครองให้เสร็จภายในวันที่กรานกฐิน จำกัดไทยธรรม คือ ผ้าที่ถวายต้องถูกต้องตามลักษณะที่พระวินัยกำหนดไว้ จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุผู้รับกฐิน ต้องเป็นผู้ที่จำพรรษาในวัดนั้นโดยไม่ขาดพรรษาตั้งแต่1รูปขึ้นไป และจะใช้5รูปขึ้นไปในการกรานกฐินในโบสถ์เท่านั้น จำกัดคราว คือ วัด ๆ หนึ่งรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น เป็นพระบรมพุทธานุญาต ทานอย่างอื่นทายกทูลขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาต เช่น มหาอุบาสิกาวิสาขาทูลขออนุญาตผ้าอาบน้ำฝน แต่ผ้ากฐินนี้พระองค์ทรงอนุญาตเอง นับเป็นพระประสงค์โดยตรง

อานิสงส์ของการทอดกฐิน

1. เป็นการสงเคราะห์พระภิกษุที่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสให้ได้รับอานิสงส์ตามพุทธบัญญัติ 2.เป็นการเทิดทูนพระพุทธบัญญัติเรื่องกฐินให้คงอยู่สืบไป นับได้ว่าบูชาพระพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติบูชาส่วนหนึ่ง 3.สืบต่อประเพณีกฐินทาน มิให้เสื่อมสลายไปจากวัฒนธรรมประเพณีของคนไทย ซึ่งบรรพบุรุษนำสืบต่อกันมามิขาดสาย 4.การทอดกฐินเป็นการถวายทานโดยมิเจาะจงบุคคลโดยเฉพาะ แต่ถวายแก่หมู่สงฆ์เป็นส่วนรวมจึงเข้าลักษณะเป็นสังฆทาน ที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ ว่ามีผลานิสงส์มาก 5.การร่วมบำเพ็ญกฐินทาน เป็น “กาลทาน” คือเป็นทานที่ถวายได้ภายในเวลาที่มีพระพุทธานุญาตกำหนด จึงมีอานิสงส์เป็นพิเศษ 6.ในการทอดกฐิน ส่วนใหญ่เป็นการร่วมมือร่วมใจกันของคนจำนวนมากเพื่อสร้างความดีงาม จึงเป็นการเสริมสร้างพลังสามัคคีขึ้นในสังคมอีกทางหนึ่งด้วย

ผ้าป่า

คือ ผ้าที่ผู้ถวายนำไปวางพาดไว้บนกิ่งไม้เพื่อให้พระชักเอาไปเองโดยไม่กล่าวคำถวายหรือประเคนเหมือนถวายของทั่วไป กริยาที่พระหยิบผ้าไปใช้แบบนั้น เรียกว่า “ชักผ้าป่า” ส่วนการถวายผ้าป่านิยมจัดของใช้เป็นบริวารผ้าป่าเหมือนบริวารกฐินเรียกว่า “ทอดผ้าป่า”

การทอด ผ้าป่า จัดเป็นการทำบุญที่นิยมกันมากในปัจจุบัน โดยมีชื่อเรียกตามลักษณะการรวมกันของเครื่องบริวาร หรือตามวัตถุประสงค์ของการทำบุญที่เกี่ยวกับงานที่จัดขึ้น วิธีการทอดผ้าป่านั้นไม่จำเป็นต้องนำผ้าไปวางทิ้งหรือทอดไว้ในป่าอีกเพราะขยายจากการทอดผ้า เป็นเงินหรือสิ่งของที่บริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์โดยปรับเปลี่ยนให้เข้าตามยุคตามสมัยสังคม ถือตามความสะดวกของสาธุชนผู้มาร่วมประกอบพิธี ซึ่งถือว่าได้อุปโลกน์เป็นผ้าป่าไปแล้ว

ผ้าป่า

ประเภทของ ผ้าป่า

ในปัจจุบันประเภทของผ้าป่ามีชื่อเรียก 3  อย่าง คือ

  1. ผ้าป่าหางกฐิน ได้แก่ ผ้าป่าที่เจ้าภาพจัดให้มีขึ้นต่อจากการทอดกฐิน หรือเรียก ผ้าป่าแถมกฐิน
  2. ผ้าป่าโยง ได้แก่ ผ้าป่ามราจัดทำรวมๆ กันหลายๆ กอง นำบรรทุกเรือแห่ไปทอด ตามวัดต่างๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำ จะมีเจ้าภาพเดียวหรือหลายเจ้าภาพก็ได้
  3. ผ้าป่าสามัคคี ได้แก่ ผ้าป่าที่มีการแจกฎีกาบอกบุญไปตาม สถานที่ต่างๆ ให้ร่วมกันทำบุญแล้วแต่ศรัทธา โดยจัดเป็นกองผ้าป่ามารวมกัน จะเป็นกี่กองก็ได้ เมื่อถึงวันทอด จะมีขบวนแห่ผ้าป่ามารวมกันที่วัด บางที่ก็มีจุดประสงค์เพื่อหาเงินไปสร้างถาวรวัตถุต่างๆ เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ เป็นต้น

พิธีทอด ผ้าป่า

เจ้าภาพไปแจ้งความประสงค์ที่จะทอดผ้าป่ากับทางเจ้าอาวาส เรียกว่า เป็นการจองผ้าป่า และทำกากำหนดเวลา จากนั้นก็ทำการตั้งองค์ผ้าป่า ซึ่งสิ่งที่การทอดผ้าป่าต้องมี คือ ผ้า กิ่งไม้สำหรับพาดผ้า ให้อุทิศถวาย ไม่เจาะจงพระรูปใด รูปหนึ่ง

การตั้งองค์ผ้าป่า

เจ้าภาพต้องจัดหาผ้าสำหรับพระภิกษุมาผืนหนึ่ง อาจเป็นสบง จีวร สังฆาฏิ หรือทั้ง 3 อย่าง แล้วแต่ศรัทธา จากนั้นให้นำกิ่งไม้ไปปักไว้ในภาชนะที่มีขนาดพอสมควร เพื่อใช้เป็นที่พาดผ้าป่า และใช้สำหรับนำสิ่งของเครื่องใช้ที่จะนำไปถวายพระ เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผ้าเช็ดตัว ผ้าอาบน้ำฝน สมุด ดินสอ เป็นต้น ในส่วนของปัจจัย (เงิน) นิยมนำไปเสียบไว้กับต้นกล้วยที่มีขนาดเล็กในกองผ้าป่า

การนำผ้าป่าไปทอด

ในปัจจุบันการทอดผ้าป่านับว่าเป็นงานค่อนข้างใหญ่ ต้องมีการจองผ้าป่า เพื่อแจ้งให้ทางวัดทราบกำหนดการต่างๆ จะได้จัดเตรียมการต้อนรับ เมื่อถึงกำหนด ก็จะมีการแห่องค์ผ้าป่ามาเป็นกลองยาว แตวง อย่างครึกครื้น สนุกสนาน บ้างก็อาจจะมีการละเล่นพื้นบ้าน หรือร่วมร้องเพลง รำวงกัน

การทอดผ้าป่า

นำผ้าป่าไปวางตรงหน้าพระภิกษุสงฆ์ กล่าวถวายผ้าป่า พระสงฆ์รูปหนึ่งก็จะลุกขึ้นเดินถือตาลปัตรมาชักผ้าบังสกุลที่องค์ผ้าป่า โดยกกล่าวคำปริกรรมว่า “อิมัง ปังสุกล ละจีวะรัง อัสสามิกัง มัยหัง ปาปุณาติ” แปลเป็นใจความได้ว่า “ผ้าบังสุกุลผืนนี้เป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของหวงแหน ย่อมตกเป็นของข้าพเจ้า ต่อจากนั้นพระสงฆ์ จึงสวดอนุโมทนาในผลบุญ เจ้าภาพกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล เป็นอันเสร็จพิธี”

อานิสงส์บุญทอดผ้าป่า

1.ทำให้มั่งคั่งด้วยโภคทรัพย์สมบัติ 2.ทำให้ประสบความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน 3.ทำให้เป็นผู้มีสัมมาทิฐิ พบเจอแต่บัณฑิต กัลยาณมิตร เพราะบูชาบุคคลที่ควรบูชา 4.ทำให้มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพศรัทธาของมหาชน

การถวาย กฐิน หรือ บุญผ้าป่า เป็นกุศลผลบุญที่ใหญ่หลวง ผู้ถวายจะปรารถนาความสำเร็จใด ๆ ในภพชาติใหม่ ก็จะให้สำเร็จได้ดังมโนรถความปรารถนา หรือถ้าจะปรารถนาพุทธภูมิก็ดี ปัจเจกภูมิก็ดี สาวกภูมิก็ดี สาวิกาภูมิก็ดี เมื่อมีวาสนาบารมีแก่กล้าแล้วก็จะได้สำเร็จดังมโนปณิธาน หรือความปรารถนาที่ตั้งไว้

ขอขอบคุณ เว็บธาราญา ในการแบ่งปันความรู้ครับ

การสะเดาะเคราะห์ แก้กรรม ในศาสนาพุทธมีจริงหรือไม่ ตอนที่ 1(หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)

การสะเดาะเคราะห์ แก้กรรม ในศาสนาพุทธมีจริงหรือไม่ ตอนที่ 1(หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)

 การสะเดาะเคราะห์ตามหลักพุทธศาสนานั้น เราจะต้องรู้จักว่า เรามีอะไรเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เกิดเคราะห์ร้ายขึ้นในชีวิต เราค้นหาเหตุนั้นให้พบ เมื่อพบเหตุนั้นแล้วตัดเหตุนั้น คือเลิกไม่ประพฤติ ไม่ปฏิบัติในเรื่องนั้นต่อไป อย่างนี้เรียกว่า สะเดาะเคราะห์เด็ดขาด เคราะห์ร้ายจะไม่เกิดขึ้นแก่เราต่อไป

อะไรๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา มันขึ้นอยู่กับความคิด การพูด การกระทำ การคบหาสมาคม การไปการมาของเราเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจของภายนอก ไม่มีอำนาจอะไรภายนอก ที่จะมาเราให้เป็นอะไร ให้ดีก็ไม่ได้ ให้ชั่วก็ไม่ได้
ความดี ความชั่ว ความสุข ความทุกข์ ความเสื่อม ความเจริญ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น เกิดจากตัวเราเอง
พระปัญญานันทภิกขุ

(พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)

คือเราทำ ให้มันเกิดขึ้น เราคิด เราพูด เราทำ เราคบหาสมาคม เราไปมาในที่ต่างๆ แล้วมันก็เกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเรา ไม่ได้เกิดอำนาจอะไรภายนอก แม้จะมีเรื่องภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ไม่ใช่ตัวการใหญ่ ตัวการใหญ่มันอยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้น

แต่ว่าคนเรานั้นมีความผิดประจำตัวอยู่ประการหนึ่ง คือไม่ยอมรับว่าตัวผิดคนที่ทำอะไรไม่ถูกต้อง แล้วไม่ยอมรับว่าตัวผิด มีมากในบ้านเมืองของเรา มีอยู่ทั่วๆไป

การไม่ยอมรับว่าตัวผิดนั่นแหละ คือตัวปัญหาของชีวิต
เช่นเรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องเสื่อม เรื่องเจริญ เรื่องดี เรื่องชั่วอะไรต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น เราไม่ยอมรับว่าเป็นเรื่องของเรา เราก็แก้ไม่ได้ เพราะไปแก้ที่ภายนอก
ไปแก้ที่ดวงดาวไปแก้ไม่ได้ ไปแก้ที่วันปีเกิด มันก็แก้ไม่ได้ เพราะว่าเราเกิดมาแล้ว เราจะถอยเข้าไปในท้องของคุณแม่แล้วเกิดใหม่ มันก็ไม่ได้ นอกจากไปทำพิธีบ้าๆ บวมๆ เช่นว่า ช้างที่มาเที่ยวเดินอยู่ในกรุงเทพฯ เขาให้คนที่มีความเชื่อปัญญาอ่อน ไปลอดใต้ท้องช้างสามรอบ สามครั้ง ครั้งละ ๒๐ บาท เสียเงินไม่ใช่ลอดเฉยๆ เสียเงินให้ควาญช้างเอาไปซื้อหญ้าให้ช้างกิน ลอดไปลอดมาถือว่าเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ อย่างนั้นมันไม่ได้ตั้งต้นชีวิตใหม่อะไร ยังโง่อยู่เท่าเดิมนั่นเอง

มีคนคนหนึ่ง แกนึกว่าแกเคราะห์ร้าย เลยไปคิดว่าจะไปลอดใต้ท้องช้าง แล้วเวลาไปหมาที่คุ้นเคยมันไปด้วย หมาเมื่อไปถึงมันเห็นเท้าช้างเป็นของประหลาด เพราะมันใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด มันก็เลยไปกัดเท้าช้าง คนนั้นกำลังลอด ช้างมัน จั๊กจี้ มันก็กระดิกเท้าเตะหมา แต่หมามันหลบทันเพราะตัวมันเล็ก คนที่กำลังคลาน หลบไม่ทัน เลยไปเตะเข้ากลางตัว ซี่โครงหักตาย ตายเพราะหาเรื่องจะไปเกิดใหม่นั่นเอง เกิดใหม่แบบนี้มันไม่ถูกต้อง มันไม่เป็นธรรม ไม่เข้าเหตุผล

เราจะเกิดใหม่ก็ได้ ทุกคนเกิดใหม่ได้ เกิดใหม่หมายความว่า เรารู้ว่าผิดอะไร เราไม่ดีในเรื่องอะไร แล้วเราตั้งใจว่า จะไม่ทำเช่นนั้นอีกต่อไป เช่น สมมติว่าเราเป็นคนชอบดื่มสุราเมรัย สิ่งเสพติด ชีวิตร่างกายเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมทรัพย์สมบัติก็เสื่อม การงานก็เสื่อม อะไรๆก็เสื่อมไปหมด เสียหาย แล้วไปได้ฟังพระ ท่านบอกว่า การดื่มของมึนเมามันให้โทษหลายอย่างแก่ชีวิตร่างกาย ก็เกิดรู้สึกตัวขึ้น พอรู้สึกตัวก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะเลิกไม่ดื่มสุราเมรัยอันเป็นยาเสพติด ต่อไปนี้เกิดใหม่แล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ตั้งใจว่าจะไม่ดื่มของมึนเมา ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่สูบกัญชา ยาฝิ่น ยาม้า อะไรก็ตาม ไม่แตะต้องมันอีกต่อไปเลย เลิกเด็ดขาด คนนั้นได้ชื่อว่าเกิดใหม่แล้ว แล้วก็ชื่อว่าสะเดาะเคราะห์ออกไปได้

สะเดาะความชั่วนั่นแหละสะเดาะเคราะห์ ไม่ใช่มาวัดแล้วทำพิธีสะเดาะเคราะห์ แล้วกลับไปก็เหมือนเดิม เมาอย่างใดก็เมาอยู่อย่างเดิม เคยประพฤติชั่วอย่างใด ก็ประพฤติอยู่อย่างเดิม อย่างนี้ไม่ได้สะเดาะอะไร ไม่ได้เอาความชั่วออกจากตัว

การสะเดาะเคราะห์ ตามหลักพุทธศาสนา

เราจะต้องรู้จักว่า เรามีอะไรเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เกิดเคราะห์ร้ายขึ้นในชีวิต เราค้นหาเหตุนั้นให้พบ เมื่อพบเหตุนั้นแล้วตัดเหตุนั้น คือเลิกไม่ประพฤติ ไม่ปฏิบัติในเรื่องนั้นต่อไป อย่างนี้เรียกว่า สะเดาะเคราะห์เด็ดขาด เคราะห์ร้ายจะไม่เกิดขึ้นแก่เราต่อไป
…อะไรๆ มันขึ้นอยู่กับตัวเราเอง อันนี้สำคัญ พระพุทธศาสนาสอนให้เรารู้จักช่วยตัวเอง ให้เรารู้จักพึ่งตัวเอง การช่วยตัวเอง การพึ่งตัวเองนั้น ต้องเอาพระธรรมคำสอนมาเป็นหลักในการช่วยตัวเอง ในการพึ่งตัวเอง เพราะธรรมนั้นเป็นสิ่งถูกต้อง เป็นสิ่งอำนวยความสุขให้แก่เรา ถ้าเราเอาธรรมะมาใช้
(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๘)

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 99 ก.พ. 52 โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)

การสะเดาะเคราะห์ และการทำบุญจึงเป็นกุศโลบายของจิตใจในทางพุทธศาสนา

เพื่อทำให้ผู้ทำมีจิตใจที่เข้าถึงความดีเป็นพื้นฐานและสร้างกำลังใจ เช่น บริจาคโรงทาน การถวายผ้าไตร ถวายสังฆทาน เพื่อให้จิตใจมีความมุ่งมั่นแก่การให้ทานรู้จักให้ หรือ โดยเริ่มต้นโดยการมี ถือศีลห้า สมาธิ ภาวนา เมื่อคราวทุกข์มาหรือเคราะห์ก็มีปัญญารับมือ และแก้ไขเคราะห์นั้นอย่างมีสติ

ผ้าไตรจีวร

Pin It on Pinterest