โดย admin | พ.ค. 14, 2023 | ธรรมะน่าสนใจ, บทความธรรมมะ, บทความน่าสนใจ
กฐิน เป็นศัพท์ในพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นชื่อเรียกผ้าไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว สามารถรับมานุ่งห่มได้ โดยคำว่าการทอดกฐิน หรือการกรานกฐิน จัดเป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่งตามพระวินัยบัญญัติเถรวาทที่มีกำหนดเวลา คือพระสงฆ์สามารถกระทำสังฆกรรมนี้ได้นับแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ และอนุเคราะห์ภิกษุผู้ทรงคุณที่มีจีวรชำรุด1 ดังนั้นกฐินจึงจัดเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังฆกรรมของพระสงฆ์โดยจำเพาะ ซึ่งนอกจากในพระวินัยฝ่ายเถรวาทแล้ว กฐินยังมีในฝ่ายมหายานบางนิกายอีกด้วย แต่จะมีข้อกำหนดแตกต่างจากพระวินัยเถรวาท
กฐินคืออะไร
กฐิน เป็นศัพท์บาลี แปลตามศัพท์ว่าไม้สะดึง คือ “กรอบไม้” หรือ “ไม้แบบ” สำหรับขึงผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรในสมัยโบราณ ซึ่งผ้าที่เย็บสำเร็จจากกฐินหรือไม้สะดึงแบบนี้เรียกว่า ผ้ากฐิน (ผ้าเย็บจากไม้แบบ)
อาจจำแนกตามความหมายเพื่อความเข้าใจง่ายได้ดังนี้
- กฐินเป็นชื่อของกรอบไม้แม่แบบ (สะดึง) สำหรับทำจีวร ดังกล่าวข้างต้น
- กฐินเป็นชื่อของผ้าที่ถวายแก่พระสงฆ์เพื่อกรานกฐิน (โดยได้มาจากการใช้ไม้แม่แบบขึงเย็บ)
- กฐินเป็นชื่อของงานบุญประเพณีถวายผ้าไตรจีวรแก่พระสงฆ์เพื่อกรานกฐิน
- กฐินเป็นชื่อของสังฆกรรมการกรานกฐินของพระสงฆ์
กฐินมีที่มาอย่างไร
กฐิน เป็นบุญถวายผ้าไตรจีวรแด่พระสงฆ์ ซึ่งจำพรรษาแล้ว เริ่มตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึง วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นเขตทอดกฐินตามหลักพระวินัย
มูลเหตุมีการทำบุญกฐินซึ่งมีเรื่องเล่าว่า พระภิกษุชาวเมืองปาฐา 30 รูป จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเชตวันมหาวิหาร แต่จวนใกล้กำหนดเข้าพรรษาเสียก่อน จึงหยุดจำพรรษาที่เมืองสาเกต พอออกพรรษาแล้วก็รีบพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทั้ง ๆ ที่ผ้าสบงจีวรเปื้อนเปรอะ เนื่องจากระยะทางไกลและฝน ผ้าสบงจีวรจึงเปียกน้ำและเปื้อนโคลน จะหาผ้าผลัดเปลี่ยนก็ไม่มี พระพุทธเจ้าทรงเห็นความลำบากของพระภิกษุเช่นกัน จึงมีพุทธบัญญัติให้พระภิกษุแสวงหาผ้าและรับผ้ากฐินได้ตามกำหนด จำกัดประเภททาน คือ ต้องเป็นถวายสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอย่างอื่นไม่ได้ จำกัดเวลา คือกฐินเป็นกาลทานอย่างหนึ่ง (ตามพระบรมพุทธานุญาต) ดังนั้นจึงจำกัดเวลาว่าต้องถวายภายในระยะเวลา 1 เดือน นับแต่วันออกพรรษา เป็นต้นไป จำกัดงาน คือ พระภิกษุที่กรานกฐินต้องตัด เย็บ ย้อม และครองให้เสร็จภายในวันที่กรานกฐิน จำกัดไทยธรรม คือ ผ้าที่ถวายต้องถูกต้องตามลักษณะที่พระวินัยกำหนดไว้ จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุผู้รับกฐิน ต้องเป็นผู้ที่จำพรรษาในวัดนั้นโดยไม่ขาดพรรษาตั้งแต่1รูปขึ้นไป และจะใช้5รูปขึ้นไปในการกรานกฐินในโบสถ์เท่านั้น จำกัดคราว คือ วัด ๆ หนึ่งรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น เป็นพระบรมพุทธานุญาต ทานอย่างอื่นทายกทูลขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาต เช่น มหาอุบาสิกาวิสาขาทูลขออนุญาตผ้าอาบน้ำฝน แต่ผ้ากฐินนี้พระองค์ทรงอนุญาตเอง นับเป็นพระประสงค์โดยตรง
อานิสงส์ของการทอดกฐิน
1. เป็นการสงเคราะห์พระภิกษุที่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสให้ได้รับอานิสงส์ตามพุทธบัญญัติ 2.เป็นการเทิดทูนพระพุทธบัญญัติเรื่องกฐินให้คงอยู่สืบไป นับได้ว่าบูชาพระพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติบูชาส่วนหนึ่ง 3.สืบต่อประเพณีกฐินทาน มิให้เสื่อมสลายไปจากวัฒนธรรมประเพณีของคนไทย ซึ่งบรรพบุรุษนำสืบต่อกันมามิขาดสาย 4.การทอดกฐินเป็นการถวายทานโดยมิเจาะจงบุคคลโดยเฉพาะ แต่ถวายแก่หมู่สงฆ์เป็นส่วนรวมจึงเข้าลักษณะเป็นสังฆทาน ที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ ว่ามีผลานิสงส์มาก 5.การร่วมบำเพ็ญกฐินทาน เป็น “กาลทาน” คือเป็นทานที่ถวายได้ภายในเวลาที่มีพระพุทธานุญาตกำหนด จึงมีอานิสงส์เป็นพิเศษ 6.ในการทอดกฐิน ส่วนใหญ่เป็นการร่วมมือร่วมใจกันของคนจำนวนมากเพื่อสร้างความดีงาม จึงเป็นการเสริมสร้างพลังสามัคคีขึ้นในสังคมอีกทางหนึ่งด้วย
ผ้าป่า
คือ ผ้าที่ผู้ถวายนำไปวางพาดไว้บนกิ่งไม้เพื่อให้พระชักเอาไปเองโดยไม่กล่าวคำถวายหรือประเคนเหมือนถวายของทั่วไป กริยาที่พระหยิบผ้าไปใช้แบบนั้น เรียกว่า “ชักผ้าป่า” ส่วนการถวายผ้าป่านิยมจัดของใช้เป็นบริวารผ้าป่าเหมือนบริวารกฐินเรียกว่า “ทอดผ้าป่า”
การทอด ผ้าป่า จัดเป็นการทำบุญที่นิยมกันมากในปัจจุบัน โดยมีชื่อเรียกตามลักษณะการรวมกันของเครื่องบริวาร หรือตามวัตถุประสงค์ของการทำบุญที่เกี่ยวกับงานที่จัดขึ้น วิธีการทอดผ้าป่านั้นไม่จำเป็นต้องนำผ้าไปวางทิ้งหรือทอดไว้ในป่าอีกเพราะขยายจากการทอดผ้า เป็นเงินหรือสิ่งของที่บริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์โดยปรับเปลี่ยนให้เข้าตามยุคตามสมัยสังคม ถือตามความสะดวกของสาธุชนผู้มาร่วมประกอบพิธี ซึ่งถือว่าได้อุปโลกน์เป็นผ้าป่าไปแล้ว

ในปัจจุบันประเภทของผ้าป่ามีชื่อเรียก 3 อย่าง คือ
- ผ้าป่าหางกฐิน ได้แก่ ผ้าป่าที่เจ้าภาพจัดให้มีขึ้นต่อจากการทอดกฐิน หรือเรียก ผ้าป่าแถมกฐิน
- ผ้าป่าโยง ได้แก่ ผ้าป่ามราจัดทำรวมๆ กันหลายๆ กอง นำบรรทุกเรือแห่ไปทอด ตามวัดต่างๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำ จะมีเจ้าภาพเดียวหรือหลายเจ้าภาพก็ได้
- ผ้าป่าสามัคคี ได้แก่ ผ้าป่าที่มีการแจกฎีกาบอกบุญไปตาม สถานที่ต่างๆ ให้ร่วมกันทำบุญแล้วแต่ศรัทธา โดยจัดเป็นกองผ้าป่ามารวมกัน จะเป็นกี่กองก็ได้ เมื่อถึงวันทอด จะมีขบวนแห่ผ้าป่ามารวมกันที่วัด บางที่ก็มีจุดประสงค์เพื่อหาเงินไปสร้างถาวรวัตถุต่างๆ เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ เป็นต้น
พิธีทอด ผ้าป่า
เจ้าภาพไปแจ้งความประสงค์ที่จะทอดผ้าป่ากับทางเจ้าอาวาส เรียกว่า เป็นการจองผ้าป่า และทำกากำหนดเวลา จากนั้นก็ทำการตั้งองค์ผ้าป่า ซึ่งสิ่งที่การทอดผ้าป่าต้องมี คือ ผ้า กิ่งไม้สำหรับพาดผ้า ให้อุทิศถวาย ไม่เจาะจงพระรูปใด รูปหนึ่ง
การตั้งองค์ผ้าป่า
เจ้าภาพต้องจัดหาผ้าสำหรับพระภิกษุมาผืนหนึ่ง อาจเป็นสบง จีวร สังฆาฏิ หรือทั้ง 3 อย่าง แล้วแต่ศรัทธา จากนั้นให้นำกิ่งไม้ไปปักไว้ในภาชนะที่มีขนาดพอสมควร เพื่อใช้เป็นที่พาดผ้าป่า และใช้สำหรับนำสิ่งของเครื่องใช้ที่จะนำไปถวายพระ เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผ้าเช็ดตัว ผ้าอาบน้ำฝน สมุด ดินสอ เป็นต้น ในส่วนของปัจจัย (เงิน) นิยมนำไปเสียบไว้กับต้นกล้วยที่มีขนาดเล็กในกองผ้าป่า
การนำผ้าป่าไปทอด
ในปัจจุบันการทอดผ้าป่านับว่าเป็นงานค่อนข้างใหญ่ ต้องมีการจองผ้าป่า เพื่อแจ้งให้ทางวัดทราบกำหนดการต่างๆ จะได้จัดเตรียมการต้อนรับ เมื่อถึงกำหนด ก็จะมีการแห่องค์ผ้าป่ามาเป็นกลองยาว แตวง อย่างครึกครื้น สนุกสนาน บ้างก็อาจจะมีการละเล่นพื้นบ้าน หรือร่วมร้องเพลง รำวงกัน
การทอดผ้าป่า
นำผ้าป่าไปวางตรงหน้าพระภิกษุสงฆ์ กล่าวถวายผ้าป่า พระสงฆ์รูปหนึ่งก็จะลุกขึ้นเดินถือตาลปัตรมาชักผ้าบังสกุลที่องค์ผ้าป่า โดยกกล่าวคำปริกรรมว่า “อิมัง ปังสุกล ละจีวะรัง อัสสามิกัง มัยหัง ปาปุณาติ” แปลเป็นใจความได้ว่า “ผ้าบังสุกุลผืนนี้เป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของหวงแหน ย่อมตกเป็นของข้าพเจ้า ต่อจากนั้นพระสงฆ์ จึงสวดอนุโมทนาในผลบุญ เจ้าภาพกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล เป็นอันเสร็จพิธี”
1.ทำให้มั่งคั่งด้วยโภคทรัพย์สมบัติ 2.ทำให้ประสบความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน 3.ทำให้เป็นผู้มีสัมมาทิฐิ พบเจอแต่บัณฑิต กัลยาณมิตร เพราะบูชาบุคคลที่ควรบูชา 4.ทำให้มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพศรัทธาของมหาชน
การถวาย กฐิน หรือ บุญผ้าป่า เป็นกุศลผลบุญที่ใหญ่หลวง ผู้ถวายจะปรารถนาความสำเร็จใด ๆ ในภพชาติใหม่ ก็จะให้สำเร็จได้ดังมโนรถความปรารถนา หรือถ้าจะปรารถนาพุทธภูมิก็ดี ปัจเจกภูมิก็ดี สาวกภูมิก็ดี สาวิกาภูมิก็ดี เมื่อมีวาสนาบารมีแก่กล้าแล้วก็จะได้สำเร็จดังมโนปณิธาน หรือความปรารถนาที่ตั้งไว้
ขอขอบคุณ เว็บธาราญา ในการแบ่งปันความรู้ครับ
โดย admin | มี.ค. 30, 2023 | ข่าวสาร, ธรรมะน่าสนใจ, บทความธรรมมะ, บทความน่าสนใจ
การสะเดาะเคราะห์ตามหลักพุทธศาสนานั้น เราจะต้องรู้จักว่า เรามีอะไรเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เกิดเคราะห์ร้ายขึ้นในชีวิต เราค้นหาเหตุนั้นให้พบ เมื่อพบเหตุนั้นแล้วตัดเหตุนั้น คือเลิกไม่ประพฤติ ไม่ปฏิบัติในเรื่องนั้นต่อไป อย่างนี้เรียกว่า สะเดาะเคราะห์เด็ดขาด เคราะห์ร้ายจะไม่เกิดขึ้นแก่เราต่อไป
อะไรๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา มันขึ้นอยู่กับความคิด การพูด การกระทำ การคบหาสมาคม การไปการมาของเราเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจของภายนอก ไม่มีอำนาจอะไรภายนอก ที่จะมาเราให้เป็นอะไร ให้ดีก็ไม่ได้ ให้ชั่วก็ไม่ได้
ความดี ความชั่ว ความสุข ความทุกข์ ความเสื่อม ความเจริญ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น เกิดจากตัวเราเอง
(พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)
คือเราทำ ให้มันเกิดขึ้น เราคิด เราพูด เราทำ เราคบหาสมาคม เราไปมาในที่ต่างๆ แล้วมันก็เกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเรา ไม่ได้เกิดอำนาจอะไรภายนอก แม้จะมีเรื่องภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ไม่ใช่ตัวการใหญ่ ตัวการใหญ่มันอยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้น
แต่ว่าคนเรานั้นมีความผิดประจำตัวอยู่ประการหนึ่ง คือไม่ยอมรับว่าตัวผิดคนที่ทำอะไรไม่ถูกต้อง แล้วไม่ยอมรับว่าตัวผิด มีมากในบ้านเมืองของเรา มีอยู่ทั่วๆไป
การไม่ยอมรับว่าตัวผิดนั่นแหละ คือตัวปัญหาของชีวิต
เช่นเรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องเสื่อม เรื่องเจริญ เรื่องดี เรื่องชั่วอะไรต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น เราไม่ยอมรับว่าเป็นเรื่องของเรา เราก็แก้ไม่ได้ เพราะไปแก้ที่ภายนอก
ไปแก้ที่ดวงดาวไปแก้ไม่ได้ ไปแก้ที่วันปีเกิด มันก็แก้ไม่ได้ เพราะว่าเราเกิดมาแล้ว เราจะถอยเข้าไปในท้องของคุณแม่แล้วเกิดใหม่ มันก็ไม่ได้ นอกจากไปทำพิธีบ้าๆ บวมๆ เช่นว่า ช้างที่มาเที่ยวเดินอยู่ในกรุงเทพฯ เขาให้คนที่มีความเชื่อปัญญาอ่อน ไปลอดใต้ท้องช้างสามรอบ สามครั้ง ครั้งละ ๒๐ บาท เสียเงินไม่ใช่ลอดเฉยๆ เสียเงินให้ควาญช้างเอาไปซื้อหญ้าให้ช้างกิน ลอดไปลอดมาถือว่าเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ อย่างนั้นมันไม่ได้ตั้งต้นชีวิตใหม่อะไร ยังโง่อยู่เท่าเดิมนั่นเอง
มีคนคนหนึ่ง แกนึกว่าแกเคราะห์ร้าย เลยไปคิดว่าจะไปลอดใต้ท้องช้าง แล้วเวลาไปหมาที่คุ้นเคยมันไปด้วย หมาเมื่อไปถึงมันเห็นเท้าช้างเป็นของประหลาด เพราะมันใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด มันก็เลยไปกัดเท้าช้าง คนนั้นกำลังลอด ช้างมัน จั๊กจี้ มันก็กระดิกเท้าเตะหมา แต่หมามันหลบทันเพราะตัวมันเล็ก คนที่กำลังคลาน หลบไม่ทัน เลยไปเตะเข้ากลางตัว ซี่โครงหักตาย ตายเพราะหาเรื่องจะไปเกิดใหม่นั่นเอง เกิดใหม่แบบนี้มันไม่ถูกต้อง มันไม่เป็นธรรม ไม่เข้าเหตุผล
เราจะเกิดใหม่ก็ได้ ทุกคนเกิดใหม่ได้ เกิดใหม่หมายความว่า เรารู้ว่าผิดอะไร เราไม่ดีในเรื่องอะไร แล้วเราตั้งใจว่า จะไม่ทำเช่นนั้นอีกต่อไป เช่น สมมติว่าเราเป็นคนชอบดื่มสุราเมรัย สิ่งเสพติด ชีวิตร่างกายเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมทรัพย์สมบัติก็เสื่อม การงานก็เสื่อม อะไรๆก็เสื่อมไปหมด เสียหาย แล้วไปได้ฟังพระ ท่านบอกว่า การดื่มของมึนเมามันให้โทษหลายอย่างแก่ชีวิตร่างกาย ก็เกิดรู้สึกตัวขึ้น พอรู้สึกตัวก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะเลิกไม่ดื่มสุราเมรัยอันเป็นยาเสพติด ต่อไปนี้เกิดใหม่แล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ตั้งใจว่าจะไม่ดื่มของมึนเมา ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่สูบกัญชา ยาฝิ่น ยาม้า อะไรก็ตาม ไม่แตะต้องมันอีกต่อไปเลย เลิกเด็ดขาด คนนั้นได้ชื่อว่าเกิดใหม่แล้ว แล้วก็ชื่อว่าสะเดาะเคราะห์ออกไปได้
สะเดาะความชั่วนั่นแหละสะเดาะเคราะห์ ไม่ใช่มาวัดแล้วทำพิธีสะเดาะเคราะห์ แล้วกลับไปก็เหมือนเดิม เมาอย่างใดก็เมาอยู่อย่างเดิม เคยประพฤติชั่วอย่างใด ก็ประพฤติอยู่อย่างเดิม อย่างนี้ไม่ได้สะเดาะอะไร ไม่ได้เอาความชั่วออกจากตัว
การสะเดาะเคราะห์ ตามหลักพุทธศาสนา
เราจะต้องรู้จักว่า เรามีอะไรเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เกิดเคราะห์ร้ายขึ้นในชีวิต เราค้นหาเหตุนั้นให้พบ เมื่อพบเหตุนั้นแล้วตัดเหตุนั้น คือเลิกไม่ประพฤติ ไม่ปฏิบัติในเรื่องนั้นต่อไป อย่างนี้เรียกว่า สะเดาะเคราะห์เด็ดขาด เคราะห์ร้ายจะไม่เกิดขึ้นแก่เราต่อไป
…อะไรๆ มันขึ้นอยู่กับตัวเราเอง อันนี้สำคัญ พระพุทธศาสนาสอนให้เรารู้จักช่วยตัวเอง ให้เรารู้จักพึ่งตัวเอง การช่วยตัวเอง การพึ่งตัวเองนั้น ต้องเอาพระธรรมคำสอนมาเป็นหลักในการช่วยตัวเอง ในการพึ่งตัวเอง เพราะธรรมนั้นเป็นสิ่งถูกต้อง เป็นสิ่งอำนวยความสุขให้แก่เรา ถ้าเราเอาธรรมะมาใช้
(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๘)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 99 ก.พ. 52 โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)
การสะเดาะเคราะห์ และการทำบุญจึงเป็นกุศโลบายของจิตใจในทางพุทธศาสนา
เพื่อทำให้ผู้ทำมีจิตใจที่เข้าถึงความดีเป็นพื้นฐานและสร้างกำลังใจ เช่น บริจาคโรงทาน การถวายผ้าไตร ถวายสังฆทาน เพื่อให้จิตใจมีความมุ่งมั่นแก่การให้ทานรู้จักให้ หรือ โดยเริ่มต้นโดยการมี ถือศีลห้า สมาธิ ภาวนา เมื่อคราวทุกข์มาหรือเคราะห์ก็มีปัญญารับมือ และแก้ไขเคราะห์นั้นอย่างมีสติ

โดย admin | ก.พ. 11, 2023 | ข่าวสาร, ธรรมะน่าสนใจ, บทความธรรมมะ, บทความน่าสนใจ
แก้กรรม ในทางศาสนาพุทธแล้วไม่มีใครแก้กรรมได้ดีที่สุด เท่ากับตัวเอง ไม่ต้องไม่มองหรือแก้ที่ผู้อื่น หรือร้องขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การแก้กรรมที่ดีที่สุด การนำจิต น้อมเข้าสู่กฏไตรลักษณ์ แล้ว น้อมเข้าการอโหสิกรรม ปล่อยวาง ด้วยการดำเนินตามวิถีของ ศีล สมาธิและ ปัญญา
แก้กรรม คืออะไร ?
“กรรม” การกระทำด้วยเจตนา ทั้งในอดีตชาติ หรือในปัจจุบันก็ล้วนเป็นกรรมทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมีผลกระทบต่อปัจจุบันและอนาคต “ใครทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นย่อมไปตกอยู่ที่ผู้กระทำ” (การ แก้กรรม สามารถช่วยได้ จากหนักเป็นเบา) ไม่มีใครหลุดพ้นหรือหนีจากกฎแห่งกรรมไปได้ วิบากกรรมของแต่ละคนก็แตกต่างกัน
วิธีการ แก้กรรม ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญ เช่น การใส่บาตร ถือศีล กินเจ ช่วยผู้ที่เดือดร้อน ถวายสังฆทาน สวดมนต์ กราบบิดามารดา ล้วนเป็นมหากุศล การทำบุญให้อธิษฐานจิตทุกครั้ง เพื่อนำส่งบุญให้ตัวเอง มีชีวิตที่ดีขึ้น เจริญขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นกุศลและเป็นบุญทั้งสิ้น
เรามีวิธีการแก้กรรมด้วยตนเอง 15 วิธี ดังนี้
1. ถือศีล 5 การ ถือศีล 5 เป็นประจำจะช่วยเสริมดวงชะตาและจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในความดีงามการทำดีและไม่เบียดเบียนใครถือเป็นการทำบุญกุศลที่ได้อานิสงส์ เป็นผลให้เกิดความโชคดี และแก้เคราะห์ลดกรรมได้
2. การถือศีล 8 จะช่วยเสริมดวงและแก้เคราะห์ได้เช่นเดียวกับการถือศีล 5 แต่การถือศีล 8 นั้นปฏิบัติได้ยากยิ่ง แต่เมื่อปฏิบัติได้สำเร็จจะได้กุศลแรงนักปฏิบัติแล้วยังช่วยเสริมดวงอำนาจ บารมีได้
3. กินเจ ก็เพื่อลดละชีวิตสัตว์ ซึ่งได้อานิสงส์ผลบุญสูงและควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ถ้าอธิษฐานไว้ว่า 7 วัน ก็ทำให้ครบ 7 วัน อาจตั้งจิตว่าจะทำทุกวันพระและทุกเดือน หรือปฏิบัติทุกเดือน เดือนละ 3 วัน หรือ 7 วัน เป็นต้น
4. ไหว้พระและถวายดอกไม้ ธูปเทียน รวมทั้งการปิดทองคำเปลวและเครื่องหอม ผลบุญนี้จะทำให้ชีวิตรุ่งเรือง มีความเจริญก้าวหน้า
5. ถวายน้ำมันตะเกียง เพื่อความรุ่งโรจน์โชติช่วงของชีวิต เช่นเดียวกับความสว่างของแสงตะเกียง ทำให้พ้นจากความมืดมิดทั้งการดำเนินชีวิต รวมทั้งปัญหาและความคิดที่สว่างไสวไม่อับจนหนทาง
6. ถวายสังฆทาน เป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยถวายสิ่งของจำเป็นแด่พระสงฆ์ อานิสงส์ผลบุญจะส่งให้ชีวิตหมดเคราะห์หมดโศก จะทำสิ่งใดก็ราบรื่นไม่ติดขัด พบแต่ความสำเร็จสมปรารถนา รวมทั้งมีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ ไม่ขัดสน
7. ไหว้พระบูชาเทพต่างๆ จะทำให้พบกับความสุข ความเจริญ เกิดความสุขใจว่ามีที่พึ่งพิง ยึดเหนี่ยว นำมาซึ่งกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตต่อไปและรู้สึกเสมอว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คอยคุ้มครองเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
8. ทำบุญปล่อยสัตว์ เป็นการไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แต่ถือว่าได้บุญแรง จะต้องทำด้วยความตั้งใจจริง เช่น การไปซื้อสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าไปปล่อย ไถ่ชีวิตวัวควายถวายวัดเพื่อมอบให้ชาวนานำไปใช้ประโยชน์ ซื้อปลาในตลาดที่จะถูกฆ่าไปปล่อยน้ำ ผลบุญนี้ยังผลให้หมดทุกข์ หมดภัย และพบความสุขความเจริญในชีวิต
9. ทำบุญ ให้ทาน เป็นการรู้จักเสียสละตนเองและแบ่งปันให้ผู้อื่น ซึ่งผลบุญจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมีจิตใจยินดีในการทำบุญให้ทานด้วย ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงพุทธศาสนา หรือการให้ทานเกื้อกูลคนยากไร้ ล้วนแล้วแต่เป็นบุญส่งเสริมให้ชีวิตมีโชค มีทรัพย์ และมากด้วยบารมี
10. ทำทานแก่คนยากไร้ เป็นการทำบุญที่มาจากจิตใจอันไม่ยึดติดมีความไม่โลภ ผลบุญจึงหนุนนำให้มีแต่ความราบรื่น ยามมีเรื่องติดขัดก็จะมีผู้มาช่วยเหลือค้ำจุน ยามมีเคราะห์ภัยก็จะแคล้วคลาด เพราะแรงอนุโมทนาจิตจากผู้ยากไร้ที่ได้รับสิ่งของจากเรานั่นเอง
11. ทำบุญโลงศพ ซื้อโลงศพบริจาคศพอนาถาไร้ญาติ จะได้อานิสงส์แรงยิ่งนัก การทำบุญเช่นนี้จะช่วยเสริมดวงชะตาให้แข็งแกร่งสามารถต้านเคราะห์ภัยหนักต่างๆ และผ่อนหนักเป็นเบาได้
12. พิมพ์หนังสือธรรมะแจก จัดพิมพ์เองหรือร่วมบริจาคสมทบทุนการพิมพ์กับผู้อื่นก็ได้ เป็นการเสริมดวงให้มีวาสนาบารมี เพื่อให้ปัญญาสว่าง หมดทุกข์ หมดโศก ไม่มีเคราะห์ร้ายมากล้ำกราย
13. บริจาคค่าน้ำ ค่าไฟ จะช่วยให้ชีวิตราบรื่น หมดทุกข์ หมดโศก ประสบแต่ความโชคดี
14. ซื้อข้าวสารถวายวัด เลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าตามสถานสงเคราะห์เป็นการสั่งสมบุญกุศล เพื่อให้ชีวิตมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์และเพียบพร้อมด้วยบารมี
15. การตักบาตรร่วมขันกับผู้อื่นหรือทำบุญร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะทำบุญด้วยการบริจาคทรัพย์หรือโดยทางอื่น จะส่งผลให้เนื้อคู่ดูดี ดวงชะตาแข็งแกร่ง เกื้อกูลซึ่งกันและกัน และจะได้แต่เพื่อนที่ดีในชาตินี้
ทั้งนี้ก็ต้องหมั่นทำความดี ทำบุญตักบาตร เข้าวัดฟังธรรม ช่วยเหลือผู้อื่นไปด้วยจึงจะเป็นการสร้างกรรมดีให้เกิดขึ้นกับตัวเราเอง การที่เรามีจิตใจดี หรือตั้งใจดี ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นกุศล และเป็นบุญทั้งสิ้นครับ
ขอขอบคุณและเครดิตบทความดี ๆ จากเว็บ dharayath.com
โดย admin | ม.ค. 28, 2023 | กิจกรรมงานบุญ, ข่าวสาร, บทความน่าสนใจ
ประชาสัมพันธ์เรื่อง แจก หนังสือธรรมะ
เนื่องด้วยคณะกรรมการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์
ได้จัดพิมพ์หนังสือ “พุทธธรรม (ฉบับเดิม)”
ซึ่งมีการพิมพ์ส่วนภาพรวมสรุปเนื้อหาเพิ่มเข้ามา
ในหนังสือเล่มนี้ พูดถึงแนวคิดของพุทธศาสนาที่แท้จริงและรวบรวมประมวลหลักธรรมต่างๆไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาธรรมะทั้งในรายละเอียดและภาพรวม
หนังสือเล่มนี้ถูกจัดพิมพ์ขึ้นอย่างปราณีต เป็นปกหนังแข็ง พิมพ์ด้วยกระดาษอย่างดี ท่านที่สนใจสามารถขอรับหนังสือได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
วิธีรับหนังสือธรรมะ
(ใช้ซองจดหมาย 2 ซอง)
1. ซองที่ท่านส่งมาให้ทางมหาวิทยาลัย
2. ซองที่ทางมหาวิทยาลัยจะส่งหนังสือกลับไปให้
โดยให้ใช้ซองเปล่า “แบบกันกระแทก”
ขนาด C4 (249 x 324 มม.)
พร้อมปิดแสตมป์ 40 บาท
จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง
***1 ชื่อ/ 1 ท่าน / 1 เล่ม***

ส่งมาที่
งานสารบรรณ สำนักอธิการบดี
(หนังสือพุทธธรรม)
มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์
19/1 ถนนเพชรเกษม เขตหนองแขม กรุงเทพฯ 10160
โทร. 081-938-3598

หมายเหตุ
-เมื่อทางมหาวิทยาลัยได้รับซองเรียบร้อยแล้ว จะดำเนินการจัดส่งหนังสือให้ต่อไป
-กรณีหนังสือหมด ขอสงวนสิทธิ์ไม่ส่งซองเปล่าคืน
-สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 081-938-3598
ขอขอบคุณจากเพจ
โดย admin | ธ.ค. 29, 2022 | ข่าวสาร, บทความน่าสนใจ
ปีใหม่นี้หลายท่านย่อมไปทำบุญเพื่อ เสริมดวงชะตา , สะเดาะห์เคราะห์ หรือแก้กรรม หนึ่งในสถานที่นิยมไปไหว้สักการะ คือ ไปไหว้ท้าวเวสสุวรรณ บทความนี้ได้มาจากการไปอ่านเจอสถานที่แนะนำเกี่ยวกับองค์ ท้าวเวสสุวรรณ เห็นว่าเป็นประโยชน์จึงมาแชร์แบ่งปันกันครับ
ท้าวเวสสุวรรณคือใคร
เป็นเทพเจ้าแห่งยักษ์ และหนึ่งในจาตุมหาราช ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ในศาสนาฮินดู เรียกอีกชื่อว่าท้าวกุเวร
คนไทยโบราณนิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็กเพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควานแก่เด็ก ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตรว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกามาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่น ๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาน
นอกจากนี้ สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้กล่าวถึงท้าวเวสสุวรรณว่าพระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์มียักษ์ และคุยหกะ (ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์) เป็นบริวาร ด้วยเหตุนี้เราเลยจึงพบรูปปั้นยักษ์ หรือรูปปั้นท้าวเวสสุวรรณตามวัดต่าง ๆ ซึ่งในเมืองไทยนี้มีหลายๆ วัดที่เป็นที่ประดิษฐานของท้าวเวสสุวรรณ

1.วัดจุฬามณี จังหวัดสมุทรสงคราม เดิมชื่อว่า วัดแม่เจ้าทิพย์ สร้างในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2172–2190 ท่านท้าวแก้วผลึก (น้อย) ธิดาคนหนึ่งของท่านพลาย นายตลาดบางช้าง มีหน้าที่เก็บภาษีอากรขนอนตลาด ต้นวงศ์ราชนิกูลบางช้าง เป็นผู้สร้างขึ้น
วัดจุฬามณีมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนนิยมมาสักการะ 3 อย่าง ประกอบด้วย
สังขารที่ไม่เน่าเปื่อยของอดีตเจ้าอาวาส (หลวงพ่อเนื่อง โกวิท)
อุโบสถจตุรมุขหินอ่อน
องค์ท้าวเวสสุวรรณ
2. วัดสุทัศนเทพวราราม ถนนบำรุงเมือง หน้าวัดออกทางถนนอุณากรรณ กรุงเทพมหานคร ท้าวเวสสุวรรณประดิษฐานที่มุขด้านหลังพระอุโบสถ หล่อด้วยสำริดเคลือบสีเขียว ตามตำนานของวัดสุทัศนเทพวราราม ท้าวกุเวรมหราชเมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ เกิดเป็นพราหมณ์ชื่อ “กุเวร” ได้สร้างโรงหีบอ้อยและนำกำไรที่ได้ให้ทานตลอด 20,000 ปี เมื่อถึงแก่กรรมไปเกิดเป็นเทพบุตรชื่อกุเวรในสวรรค์ ปกครองหมู่ยักษ์และอมนุษย์ มีราชธาณีชื่อวิสานะ ตั้งแต่นั้นจึงเรียกว่า “ท้าวเวสสุวรรณ”
3. วัดสุทธาราม ซอยสมเด็จพระเจ้าตากสิน 19 กรุงเทพมหานคร สักการะองค์หลวงพ่อฉิมอายุกว่า 200 ปี องค์ท้าวเวสสุวรรณใหญ่ที่สุด และชมพิพิธภัณฑ์โบราณ สถานที่ประดิษฐานท้าวเวสสุวรรณองค์ขนาดใหญ่ เปิดให้กราบไหว้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-22.00 น. อีกทั้ง วันเสาร์และอาทิตย์จะเปิดพิพิธภัณฑ์ให้ชมด้วย
4. วัดไผ่เงินโชตนาราม ซอยวัดไผ่เงิน กรุงเทพมหานคร องค์ท้าวเวสสุวรรณ ขนาดความสูง 2.90 เมตร ประดิษฐานอยู่บริเวณหน้าศูนย์วัตถุมงคลท้าวเวสสุวรรณนารายณ์ทรงครุฑ
5. วัดบางชัน รามอินทรา 109 กรุงเทพมหานคร รูปหล่อท้าวเวสสุวรรณขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่บริเวณหน้าศาลาอนุสรณ์ 95 ผู้คนมักไปขอพรเรื่องโชคลาภ ทำมาค้าขึ้น ปัดเป่าภัยจากสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น
6. วัดพังม่วง อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เชื่อว่า ช่วยปัดเป่าวิญญาณร้าย สิ่งชั่วร้าย รวมถึงสิ่งอัปมงคลทั้งหลาย ยังช่วยบันดาลโชคลาภ ดึงดูดเงินทองให้ไหลมาเทมา มีอำนาจวาสนา ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง เจริญในลาภยศ และนำพาสิ่งดี ๆ มาสู่ตัวผู้บูชา
7. วัดเถรพลาย ตำบลวังน้ำซับ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ท้าวเวสสุวรรณ มี 2 องค์ด้วยกัน คือองค์ปกติและปางถือกระดานชนวน (ท้าวปลดหนี้) หนึ่งเดียวของไทย ประดิษฐานด้านหน้าองค์พระเจดีย์สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ
8. วัดโพธิ์ใหญ่ อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เผยว่า ชาวจีนยกย่ององค์ท้าวเวสสุวรรณว่า เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและความร่ำรวยในนาม “องค์ไฉ่ซิงเอี้ย” ซึ่งมีบูชากันทุกบ้านร่ำรวยทุกคน ขับไล่ภูติผีปีศาจ วิญญาณร้าย มีอายุมากกว่า 100 ปี
9. วัดอ่างเวียน จังหวัดชลบุรี ท้าวเวสสุวรรณ ณ วัดอ่างเวียน มีลักษณะทรงนักรบโบราณ นุ่งโจงกระเบนแดง ดวงตาสีแดงสด หน้ามีสีทองคำ เรือนกายเป็นสีนาค ยอดบนสุดประดิษฐานหลวงพ่อโสธร ฐานล่างรองรับด้วยผ้ายันต์ยอดสยาม
10. วัดพระศรีรัตนมหาธาตุฯ จังหวัดพิษณุโลก เทวรูปท้าวเวสสุสรรณ ปางประทับนั่ง ถือ คทาวุทธัง (กระบองวิเศษเป็นอาวุธ) สถิตถวายการอภิบาลที่ฐานชุกชี รัตนบัลลังก์ เบื้องพระหัตถ์ซ้าย องค์หลวงพ่อพระพุทธชินราช มายาวนาน หล่อด้วยโลหะสำริดโบราณ ลงรักปิดทอง สมัยอยุธยาหนึ่งเดียวในสยามรัฐสีมา
จุดสักการะธูป 9 ดอก และถวายดอกกุหลาบ 9 ดอก
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสสะ (ตั้งนะโม 3 จบ)
ระลึกถึงคุณบิดา มารดา และครูบาอาจารย์ ทั้งหลาย ที่ประสิทธิประสาทวิชามาแล้วระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
แล้วท่องคาถาท้าวเวสสุวรรณดังนี้
“อิติปิ โส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ มะระณัง สุขัง อะหัง สุคะโต นะโม พุทธายะ ท้าวเวสสุวรรณโณ จาตุมะหาราชิกา ยักขะพันตาภัทภูริโต เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะ”
ผู้ที่ได้ทั้งบูชาท้าวเวสสุวรรณด้วยการกราบไหว้ และนำคุณธรรมของตัวท่านไปปฏิบัติด้วย จะช่วยส่งผลให้เจริญก้าวหน้า และร่ำรวย มีความสุขอย่างแน่นอน
โดย admin | ธ.ค. 27, 2022 | ข่าวสาร, บทความน่าสนใจ
ปีชง ในภาษาจีน หมายถึง การปะทะ เป็นความเชื่อทางโหราศาสตร์ของจีน มีความเกี่ยวข้องกับองค์เทพไท้ส่วยเอี๊ยหรือภาษาไทย คือ “เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา” ซึ่งมีพลังที่เป็นอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ โดยคำว่าปีชงที่บอกว่าเป็นการปะทะนั้น หมายถึงคู่ปีเกิดไม่ถูกกัน ทำให้คนที่เป็นปีชงใน พ.ศ.2566 โชคร้าย ปีชงใน พ.ศ.2566 มีปีไหนบ้าง ปีไหนชงตรง ปีไหนชงร่วม เลยจะทำให้คุณสามารถเบาใจไปได้บ้างเมื่อได้ทำบุญไหว้พระแก้ปีชง
นอกจากนี้ยังมี ปีชงร่วม ซึ่งแบ่งย่อยอีก 3 ระดับ ได้แก่
- ปีคัก คือ ปีที่เป็นปีนักษัตรเดียวกับปีนั้น ๆ (ชงตัวเอง)
- ปีเฮ้ง คือ ปีที่ได้รับผลกระทบในเรื่องเคราะห์กรรม
- ปีผั่ว คือ ปีที่ได้รับผลกระทบในเรื่องสุขภาพ
ปีชง 2566 “ปีระกา” ชงเต็ม 100% “ปีเถาะ , ปีชวด , ปีมะเมีย” ชงร่วม
ปีชง 2566 (ชงเต็ม 100%)
ได้แก่ ปีนักษัตร “ระกา” หรือคนที่เกิดตรงกับ พ.ศ. 2476, 2488, 2500, 2512, 2524, 2536, 2548, 2560
ปีชงร่วม 2566
ได้แก่ ปีนักษัตร (ปีเถาะ , ปีชวด , ปีมะเมีย) หรือคนที่เกิดตรงกับ พ.ศ. 2467, 2470, 2473, 2479, 2482, 2485, 2491, 2494, 2497, 2503, 2506, 2509, 2515, 2518, 2521, 2527, 2530, 2533, 2539, 2542, 2545, 2551, 2554, 2557, 2563
ที่มาจากเว็บ https://dharayath.com/เสริมดวง-แก้ชงปี-2566-วัดไหน/
ของไหว้แก้ชง
-กระดาษหงิ่งเตี๋ย 12 คู่ (บางปีมีเดือนจีนทางจันทรคติ 13 เดือน ก็ต้องใช้ 13 คู่) เขียนชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด -กระทงตั่วกิม 1 กระทง : ลักษณะเป็นกระทง มีกระดาษทอง (ตั่วกิม) พับเป็นก้อนทองเรียงเป็นวงกลมอยู่ในกระทง -ซองที่บรรจุดวงชะตา ชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด ฝากไว้ที่ศาลเจ้าเพื่อให้พระจีนได้สวดเสริมดวงชะตาให้ -เทียนแดง 1 คู่ -ธูป 3 ดอก -ส้มมงคล (ไต้กิก) 1 จาน ประมาณ 4-5 ผล หลังจากที่ไหว้เสร็จให้นำส้มกลับไปไว้รับประทานที่บ้านเพื่อเสริมความเป็นมงคลให้แก่ชีวิต -น้ำมันเติมตะเกียง ชีวิตรุ่งโรจน์เหมือนแสงไฟในตะเกียง -ขนมจันอับ (งาตัด,ถั่วตัด,ฟักเชื่อม,ข้าวพอง,ถั่วเคลือบสีขาวสีชมพู) 1 ถุง
ที่มาข้อมูลของไหว้และสถานที่แนะนำแก้ชง
ขอขอบคุณจากเว็บ https://www.tnnthailand.com/news/tnnexclusive/133301/

แนะนำสถานที่ไหว้แก้ชงเสริมดวงชะตา
1.วัดมังกรกมลาวาส หรือ วัดเล่งเน่ยยี่ หรือ วัดมังกร เยาวราช
2.วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ หรือ วัดเล่งเน่ยยี่ 2
3.วัดทิพยวารีวิหาร หรือ วัดกัมโล่วยี่
4. วัดโพธิ์แมนคุณาราม หรือ วัดโพวมิ้งปออึงยี่
5. วิหารเทพสถิตพระกิติเฉลิม หรือ ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ อ่างศิลา
6. ศาลเจ้าพ่อเสือ หรือตั่วเหล่าเอี๊ย
7.ศาลเจ้าพ่อกวนอู ย่านคลองสาน จ.กรุงเทพฯ
8.วิหารเทพสถิตพระกิติเฉลิม หรือ ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ จังหวัดชลบุรี
การสะเดาะเคราะห์นี้ ไม่สามารถตัดกรรมตัดเวรได้ เพียงแค่นี้ให้ผู้ที่ทำการสะเดาะเคราะห์รู้สึกดีขึ้นเท่านั้นเอง ดังนั้นในปัจจุบันควรสร้างแต่กรรมดี เพื่อเป็นเหตุให้ได้รับผลของความดี เพียงเท่านี้ชีวิตเราก็จะมีแต่ความสุข ความเจริญ