พินทุผ้า คืออะไร สำหรับการอธิฐานครองผ้าไตร

พินทุผ้า คืออะไร สำหรับการอธิฐานครองผ้าไตร

พินทุผ้า ไตรจีวรหรือการอธิฐานผ้าครอง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่ง เรียกพินทุกัปปะ กการอธิฐานผ้าครองนั้นเป็นการลงตำหนิไว้บนผ้าไตรจีวร โดยอย่างยิ่ง พระที่บวชใหม่ จะยังไม่เข้าใจกระบวนการพินทุและต้องสวดอย่างไร

ทำความเข้าใจว่าผ้าไตรของพระสงฆ์อะไรบ้าง

ไตรครอง
ผ้าไตรครบชุด (7 ชิ้น) ประกอบด้วย
ผ้าสบงขัณฑ์, ผ้าจีวร, ผ้าพาดบ่าหรือสังฆาฏิ (2 ชั้น), อังสะ, รัดประคด, ผ้ารัดอก และผ้ารับประเคนหรือผ้ากราบ
นิยมถวาย งานบวชพระ หรือพิธีมงคลพิเศษ
ไตรเต็ม
ผ้าไตรครบชุด หรือ ไตรใหญ่ (7 ชิ้น) ประกอบด้วย
ผ้าสบงขัณฑ์, ผ้าจีวร, ผ้าพาดบ่าหรือสังฆาฏิ (1ชั้น), อังสะ, รัดประคด, ผ้ารัดอก และผ้ารับประเคนหรือผ้ากราบ
นิยมถวายพระงานมงคลพิเศษ อาทิ งานบวชพระ ทำบุญบ้าน ทำบุญเพื่อบรรพบุรุษหรือญาติที่ล่วงลับไปแล้ว

ไตรอาศัย หรือ ไตรเล็ก
ผ้าไตรเล็ก หรือ ไตรแบ่ง (3 ชิ้น) เป็นผ้าที่พระสงฆ์เอาไว้ผลัดเปลี่ยน หรือสำรองไว้ใช้ ประกอบด้วย
สบงอนุวาต, จีวร และ อังสะ
นิยมถวายพระงานบุญทั่วไป ใช้ได้ในทุกโอกาส ไม่จำกัด

เครดิต https://dharayath.com

พินทุผ้า คืออะไร

การพินทุ ในทางพุทธศาสนาหมายถึง การทำจุดตำหนิลงบนบริขาร ซึ่งพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ในพระธรรมวินัยว่า ไม่อนุญาตให้ใช้บริขารที่ปราศจากการทำจุดตำหนิ การพินทุกระทำโดยใช้ดินสอหรือปากกา เขียนเครื่องหมายเป็นจุดเรียงกันเป็นสามเหลี่ยม ∴ ลงบนบริขาร ถ้าเป็นผ้าก็จะกระทำไว้ที่มุมผ้า พร้อมบริกรรมคาถาว่า อิมํ พินฺทุกปฺปํ กโรมิ (เราทำเครื่องหมายด้วยจุดนี้) หนึ่งจุดต่อหนึ่งครั้ง บางวัดอาจเปลี่ยนคำกลางเป็น กปฺปพินฺทุ˚ ก็ได้ แล้วให้มีการทำวิกัปเกี่ยวกับจีวรและสังฆาฏิด้วย ถ้าไม่กระทำถือว่าอาบัติ มีโทษเป็นปาจิตติยกรรม

เครดิตเพจ https://th.wikipedia.org/wiki

การทำพินทุผ้า

การพินทุผ้า เริ่มด้วยการตั้งนะโมฯ ๓ จบ แล้วใช้ปากกาทำเครื่องหมายที่มุมผ้า เป็นจุดขนาดประมาณเมล็ดถั่วเขียว ๓ จุด แต่ละจุดห่างกันให้เป็นรูปสามเหลี่ยมพร้อมกับกล่าวคำทำพินทุว่า เราทำเครื่องหมายด้วยจุดนี้ เป็นภาษาบาลี

คำพินทุกัปปะ
พึงตั้งนะโม ๓ จบก่อน และเปล่งวาจาหรือผูกใจขณะที่ทำอยู่ว่า

อิมัง พินทุกัปปัง กะโรมิ
ทุติยัมปิ อิมัง พินทุกัปปัง กะโรมิ
ตะติยัมปิ อิมัง พินทุกัปปัง กะโรมิ.

การอธิษฐานผ้า
อธิษฐานในทางพระวินัย คือ การตั้งเอาไว้หรือตั้งใจกำหนดเอาไว้ เช่น การได้ผ้ามาผืนหนึ่ง เราก็จะต้องอธิษฐานตั้งใจว่าจะใช้เป็นผ้าอะไร เช่น เป็นสังฆาฏิ เป็นสบง หรือจีวร เป็นต้น โดยสามารถอธิษฐานได้อย่างละผืนเท่านั้น ยกเว้น ผ้าบริขารโจละ และผ้าเช็ดหน้า สามารถอธิษฐานได้มากกว่า ๑ ผืน

การอธิษฐานผ้า ทำได้โดย ตั้งนะโมฯ ๓ จบ แล้วกล่าวคำอธิษฐานผ้าพร้อมกับใช้มือลูบผ้าวนขวา ๓ ครั้ง เช่น
การอธิษฐานผ้าสังฆาฏิ ว่าดังนี้

อิมัง สังฆาฏิง อธิฏฐามิ
ทุติยัมปิ อิมัง สังฆาฏิง อธิฏฐามิ
ตะติยัมปิ อิมัง สังฆาฏิง อธิฏฐามิ.

เมื่อจะอธิษฐานบริขารอื่น ๆ ให้เปลี่ยนคำว่า สังฆาฏิง ไปตามชนิด
อุตตะราสังคัง ผ้าอุตราสงค์ (จีวร)
อันตะระวาสะกัง ผ้าอันตรวาสก (สบง)
นิสีทะนัง อาสนะ
ปัตตัง บาตร
ปะริกขาระโจลัง ผ้าบริขาร ผ้าเล็กผ้าน้อย
มุขะปุญฉะนะโจลัง ผ้าเช็ดหน้า
วัสสิกะสาฏิกัง ผ้าอาบน้ำฝน
สำหรับผ้าบริขารโจละ และผ้าเช็ดหน้า ถ้าอธิษฐานตั้งแต่สองผืนขึ้นไปให้เปลี่ยน อิมัง เป็น อิมานิ และ อัง ท้ายศัพย์ เป็น อานิ เช่น

อิมานิ ปะริกขาระโจลานิ อธิฏฐามิ
ทุติยัมปิ อิมานิ ปะริกขาระโจลานิ อธิฎฐามิ
ตะติยัมปิ อิมานิ ปะริกขาระโจลานิ อธิฏฐามิ

การถอนอธิษฐาน
ผ้าอธิษฐานเหล่านี้ถ้าจะเปลี่ยนใหม่ ให้ถอน อธิษฐาน โดยเปลี่ยนคำว่า สังฆาฏิง ไปตามชนิดของบริขารนั้นๆ) ด้วยคำว่า
อิมัง สังฆาฏิง ปัจจุทธะรามิ
ทุติ ยัมปิ อิมัง สังฆาฏิง ปัจจุทธะรามิ
ตะติยัมปิ อิมัง สังฆาฏิง ปัจจุทธะรามิ

เครดิต https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=21878

 

การอุทิศส่วนกุศล ให้กับผู้ล่วงลับ มีวิธีอย่างไร

การอุทิศส่วนกุศล ให้กับผู้ล่วงลับ มีวิธีอย่างไร

การอุทิศส่วนกุศล ให้กับผู้ล่วงลับสามารถทำได้ตลอดปี หรือ ทำบุญครบ 100 วัน หรือ ทำบุญครบ 1ปี โดยทั่วไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลนั้น ก็มักจะเลือกถวายสังฆทาน อาจจะเพราะด้วยเหตุการปัจจุบันที่ไม่ค่อยมีเวลา จึงต้องเน้นความสะดวก  แต่หลายท่านอาจจะไม่แน่ใจว่า ทำถูกต้องหรือถูกวิธีหรือไม่ และต้องเริ่มต้นอย่างไรในการ ถวายสังฆทานเพื่ออุทิศให้กับผู้ล่วงลับ

อ่านเพิ่มเติมเเนะนำอโหสิกรรม เพื่อขอขมาผู้ล่วงลับ ลดกรรมได้จริงหรือไม่

การอุทิศส่วนกุศล คืออะไร

การทำบุญอุทิศคือ ทำบุญอุทิศแจกส่งส่วนบุญให้ถึงดวงวิญญาณของญาติ ผู้ตายไปแล้ว เพื่อให้ผู้ตายได้รับผลบุญกุศลสนับสนุนให้ไปเกิดในภพหน้าที่ดี

เครดิตเพจ https://so06.tci-thaijo.org/index.php

ขั้นตอนการถวายสังฆทานใน การอุทิศส่วนกุศล มีดังนี้

ในพิธีการถวาย ต้องจุดธูป 3 ดอก เทียน 2 เล่ม (ด้านซ้ายและขวาของ พระพุทธรูป หรือด้านขวาและซ้ายมือของเรา)

จากนั้น…..กล่าวคำบูชาพระรัตนะตรัยพร้อมกัน  และกราบพระอีกครั้งว่า
“อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวังตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมังนะมะสามิ (กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆังนะมามิ” (กราบ)

จากนั้น…..แล้วอาราธนาศีล ว่า
“มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ
ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ
ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ”

เสร็จแล้ว พระจะให้ศีล เราพนมมือกล่าวรับศีลจากพระ รับศีลจบแล้วตั้งนะโม…เพื่อเป็นการเคารพนบนอบต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า

“นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ” 3 จบ

จากนั้น…..กล่าวคำถวายสังฆทานโดยกล่าวดังนี้

“อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุ สังโฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ”

โดยกล่าวคำแปลต่อ โดยกล่าวว่า

“ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายภัตตาหาร กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์โปรดรับภัตตาหารกับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ”

เมื่อกล่าวคำถวายเสร็จ พระจะกล่าวพร้อมกันว่า “สาธุ” แล้วเราเข้าไปถวายสังฆทาน ซึ่งจะนำมาวางอยู่ต่อหน้าพระสงฆ์ก่อนแล้ว เวลาประเคนถ้าประเคน 2 คน ก็จับเครื่องไทยธรรมนั้น ๆ ทั้ง 2 คน ยกให้สูงจากพื้นที่วางของ แล้วประเคนให้พระสงฆ์รับ หลังจากนั้นพระสงฆ์จะอนุโมทนา ตอนนี้เป็นตอนที่สำคัญที่สุดในการทำบุญเพื่ออุทิศให้กับพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ครูบาอาจารย์ ท่านผู้มีพระคุณ เจ้ากรรมนายเวร ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ต้องมีสมาธิมีเจตนาแน่วแน่ในการทำบุญอุทิศ ซึ่งจะทำให้ได้อานิสงส์แรง พระจะสวดเป็นภาษาบาลีว่า

“ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะนิโชติระโส ยะถา”

พอพระเริ่มกล่าวคำว่า ยะถา วะริวะหา… เราก็เริ่มกรวดน้ำทันที (ให้รินน้ำลงในที่รองรับช้า ๆ เป็นสายน้ำอย่าให้ขาดสายจะดี) พร้อมกับกล่าวคำอุทิศส่วนบุญที่เราได้ทำในครั้งนี้ไปให้กับ บิดามารดา ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา ครูบาอาจารย์ ท่านผู้มีพระคุณ เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ทุกข์ก็ให้พ้นทุกข์ ที่มีสุข ก็ให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้น หรือกล่าวคำกรวดน้ำเป็นภาษาบาลีอย่างย่อก็ได้ว่า

“อิทังเม ญาติณังโหตุ สุขิตาโหตุ ญาตะโญ”

แปลว่า “ขอให้บุญนี้จงสำเร็จแก่บิดามารดา และญาติพี่น้องของข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอให้มีความสุขกายสุขใจ” ถ้าว่าไม่ได้หรือจำไม่ได้ ก็ให้กล่าวเป็นภาษาไทยอย่างเดียวก็ได้ แต่ต้องตั้งจิตอธิษฐานด้วยใจ อย่ากล่าวแต่ปากโดยใจมิได้จดจ่อกับสิ่งที่กล่าว

เมื่อพระสวดคำว่า “จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะนิโชติระโส ยะถา” ก็ให้รินน้ำลงให้หมด ขณะนี้พระยังสวดต่ออีก เป็นการสวดให้พรแก่ตัวเราแล้ว ไม่ใช่การอุทิศส่วนบุญให้ผู้อื่น/สัตว์อื่น) เราก็นั่งพนมมือทำจิตใจให้อิ่มเอิบเบิกบานรับพรจากพระ เมื่อพระสวดจบก็เป็นอันเสร็จ พิธีถวายสังฆทาน อย่างสมบูรณ์
การถวายสังฆทานอุทิศให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว
การถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร เพื่ออุทิศแก่ผู้ตาย หรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เรียกว่า มะตะกะภัต พิธีการต่าง ๆ ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับการถวายสังฆทาน ผ้าไตรทั่วไป แต่จะมีความแตกต่างกัน ตรงที่ คำกล่าวถวายมีการเปลี่ยนคำบางคำไป เพื่อให้เหมาะสมและถูกต้อง ตามความตั้งใจที่ต้องการถวายสังฆทานแด่ผู้ล่วงลับไปแล้ว

 

การอุทิศส่วนกุศลนั้นนิยมทำช่วงเวลาใดบ้าง

ในการทำบุญถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร เพื่ออุทิศให้ผู้ล่วงลับ สามารถทำได้ทุกวัน และยังมีวันพิเศษที่ควรทำบุญให้ตามความเชื่อ ได้แก่ วันพระ วันครบรอบวันตาย 7 วัน, 50 วัน, 100 วัน, และหากเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ก็ยังมีการทำบุญในสถานที่เกิดอุบัติเหตุนั้นๆด้วย ซึ่งมีเหตุผลดังต่อไปนี้

1. วันพระ เฉพาะวันพระขึ้น 15 ค่ำ: เป็นวันที่ยมโลกนรกหยุดทัณฑ์ทรมานให้สัตว์นรก 1 วันโลกมนุษย์ สัตว์นรกมีทุกขเวทนาเบาบางลง จึงมีโอกาสระลึกถึงบุญกุศลที่ตนทำและอนุโมทนาส่วนบุญที่ผู้อื่นอุทิศให้ได้เต็มที่ ส่วนญาติที่เกิดเป็นเทวดาก็จะนิยมมาฟังธรรมในวันพระและตรวจดูการทำบุญกุศลและอนุโมทนาบุญกับผู้ที่ทำความดีในโลกนี้ เราจึงควรทำบุญตักบาตร และ ถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร เพื่ออุทิศบุญให้แก่ผู้ล่วงลับ

2. วันครบรอบวันตาย 7 วัน: ในกรณีที่ผู้ตายไปแล้วเป็นผู้ที่ทำกรรมดีและชั่วไม่มากพอ บุญบาปที่ตนทำในโลกนี้ยังไม่ส่งผลในทันที ผู้ตายจะวนเวียนอยู่ 7 วันเพื่อให้มีโอกาสระลึกถึงบุญกุศลได้ หากผู้ตายระลึกถึงบุญกุศลที่ตนเคยทำได้ หรือ หากญาติมิตรทำบุญอุทิศให้อย่างถูกวิธี และอนุโมทนาบุญ ผลบุญนั้นก็จะพาไปเกิดในที่ดี เราจึงควรทำบุญตักบาตร และ ถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร เพื่ออุทิศบุญแก่ผู้ล่วงลับในวันนี้แช่นกัน

3. วันครบรอบวันตาย 50 วัน: ในกรณีที่ผู้ตายถูกเจ้าหน้าที่ยมโลกพาไปยมโลกแล้ว ช่วงระหว่างเวลา 50 วันหลังตาย คือช่วงเวลาที่ผู้ตายกำลังรอคอยลำดับคิวการพิพากษาตั้งแต่ถูกลากตัวไปจากมนุษย์โลก ผ่านประตูยมโลก อยู่หน้าลานรอขานชื่อเพื่อเข้าพบพระยายมราช

*พระยายมราช คือ เทพชั้นจาตุมหาราชิกาประเภทหนึ่งที่มีกรรมเกี่ยวพันด้านกฎหมาย ชอบตัดสินคดีความด้วยความซื่อสัตย์ตอนสมัยเป็นมนุษย์และทำบุญ หรือเมื่อทำบุญก็ตั้งความปรารถนาไว้

4. วันครบรอบวันตาย 100 วัน: ช่วงเวลาระหว่าง 51 ถึง 100 วัน คือช่วงกำลังถูกพิพากษา พระยายมราชจะซักถามความประพฤติตอนสมัยเป็นมนุษย์ และจะส่งไปเกิดเป็นอะไรต่ออะไร ช่วงนี้ถ้าญาติทำบุญตักบาตร หรือถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร และอุทิศบุญไปให้ก็ยังรับบุญได้

เครดิตจากเพจ

อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแบบใดทำให้จิตรวมลงเป็นหนึ่งสงบ

อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแบบใดทำให้จิตรวมลงเป็นหนึ่งสงบ

อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแบบหนึ่งที่หลายท่านสงสัยเยอะเหมือนกันว่าคือสมาธิที่แตกต่างกับสมาธิแบบอื่นอย่างไร แต่แท้จริงแล้วผู้ปฏิบัติสมาธิครูอาจารย์หลายท่านจะแนะนำว่าอย่าสนใจว่าจะถึงขั้นไหนว่าจิตที่มีสมาธิแต่ขั้นแล้วก็ตั้งมั่นให้อยู่ใจจิตที่ดูอาการนั้นไปเรื่อย ๆ จะได้ไม่ทุกข์หรือสงสัยลังเล  แต่บทความนี้ตั้งใจนำเสนอเพื่อให้รู้ความหมายและทำความเข้าใจให้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อเราหัดนั่งสมาธิมาเรื่อย จนถึงจุดหนึ่งจิตจะเร่ิมนิ่งสงบเร่ิมเข้าสู่ค่าว่า ฌาณ

แนะนำอ่านต่อ อุปจารสมาธิ คืออะไร สมาธิที่แน่วแน่ของจิต

อัปปนาสมาธิ คือ อะไร

อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท เป็นการเจริญสมาธิในขั้นฌาน ถือเป็น ความสำเร็จสูงสุดของการเจริญสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป

สรุปสมาธิมีกี่ระดับ

แบบเบื้องต้นเพราะตามตำราแล้วจะมีลึกลงไปทำให้เราสับสนได้ ดังนั้นไม่ต้องกังวลสนใจระดับขอให้ปฏิบัติเรื่อย ๆ

สมาธิแบ่งออกเป็น 3 ระดับ

1. ขฌิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะ ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถนำมาใช้การงานในชีวิตประจำวัน เช่นใช้อ่านหนังสือ หรือขับรถ

ขณิกสมาธิ เหมือนเด็กที่เพิ่งหัดเดิน

ขณิก(ชั่วขณะ) + สมาธิ(ความทรงไว้พร้อม ความตั้งมั่น)

สมาธิที่เป็นไปชั่วขณะ หมายถึง เอกัคคตาเจตสิกที่เกิดกับจิต ที่เป็นไปตามปกติของบุคคลทั่วไป เช่น ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สัมผัส ขณะที่ยืน เดิน นั่ง นอนตามปกติ ก็มีขณิกสมาธิเกิดร่วมด้วย

 

2. อุปจารสมาธิสมาธิเฉียด ๆ หรือจวนจะแน่วแน่ อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่มากกว่าขณิกสมาธิ แต่แน่วแน่น้อยกว่า

อุปจารสมาธิเหมือนเด็กที่เดินได้คล่องและเร่ิมจะวิ่ง

ป็นสมาธิที่เริ่มเป็นหนึ่ง ข้อสังเกตง่ายๆ ของผู้ปฏิบัติสมาธิ คืออารมณ์กรรมฐานเริ่มเป็นหนึ่ง เสียงหรืออารมณ์ภายนอกไม่สมารถเข้ามารบกวน ให้อารมณ์กรรมฐานถอยออกมาง่าย

 

3. อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท เป็นการเจริญสมาธิในขั้นฌาน ถือเป็น ความสำเร็จสูงสุดของการเจริญสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป

อัปปะนาสมาธิของปฐมฌาน เปรียบดังเด็กที่วิ่งได้อย่างคล่องแคล่ว

หมายถึงหมดความรู้สึกไปชั่วขณะหรือเป็นขณะๆ หรือเป็นวัน ตามกำลังสมาธิและความชำนาญ

เครดิต https://dharayath.com/

อธิบายให้เข้าใจเบื้องต้นสรุปดังนี้

การนั่งสมาธิเร่ิมต้นเลยเมื่อเราหัดนั่งใหม่ ๆ แล้วหลับตาลงจะรู้สึกว่า เราคิดโน่นคิดนี่ หรือ เรื่องราวต่าง ๆ เข้ามาให้เราปรุงแต่งผ่านจิตตลอดเวลาเหมือนลิงกระโดดไปกิ่งไม้ไม่หยุด แต่จะเร่ิมช้าลง และรู้สึกตัวได้ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปหรือฝึกนั่งบ่อย ๆ และจากความกังวลหรือฟุ้งซ่านจะเร่ิมน้อยลง แต่มีลังเลยอยู่ว่าต่อไปนั่งจะเห็นอะไรจะเป็นอะไรไหม ขอแนะนำเลยว่า ไม่ต้องนึก เห็นอะไรก็บอกว่า ปล่อยไปดูลมหายใจเข้าออกไปเรื่อย ๆ ที่เรียกว่า การใช้กรรมฐาน อาณาปานสติ เป็นตัวกำหนดสติ  อาการที่เราเร่ิมนิ่งขึ้นมีกำลังนั่งได้นานขึ้น เรามักจะเปรียบเทียบกับสิ่งนี้ว่า “ขณิกสมาธิ คือ ขฌิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะ

“ขณิกสมาธิ คือ ขฌิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะ สามารถนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ เช่น การแน่วแน่กับการขับรถ ทำให้ขับปลอดภัย

ต่อมาหลังจากที่เราเร่ิมนั่งสมาธิได้ชั่วขณะนั้น เราจะรู้สึกว่านั่งได้นานขึ้น และ รู้สึกถึงการเดินลมหายใจได้ชัดขึ้นไม่ติดขัด และไม่ได้ไปกังวลว่าจะเร็วหรือช้า หรือลมหายใจสั้นหรือยาว เราเร่ิมจะเห็นว่าการหายใจนั้นลมเข้าออกได้ด้วยตัวมันเอง จนลืมตามาอีกทีเข้าใจว่านั่งได้แค่ห้านาทีแต่แท้จริงแล้วนั่งไป เกือบครึ่งชั่วโมง

เราจะนิ่งขึ้น อารมณ์สงบขึ้น นั่งได้ยาวนานขึ้น แต่ก็มีอาการเผลอคิดออกไปเหมือนกัน แต่จะรู้สึกตัวกลับมาสมาธิไวขึ้น เราจะเข้าใจได้ว่า ใกล้เคียงกับ อุปจารสมาธิสมาธิเฉียด ๆ หรือจวนจะแน่วแน่ อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่มากกว่าขณิกสมาธิ แต่แน่วแน่น้อยกว่า

ต่อมาเมื่อนั่งไปอีกด้วยจิตที่มีพละห้า กำลังทั้งห้า ไม่ท้อถอยและต้องควบคู่กับสติที่ไม่หลงว่านั่งแล้วจะวิเศษหรือเห็นอะไร ขอแนะนำว่าให้ทิ้งเหล่านี้เสีย ขอให้เน้นไปที่จิตสงบ เพื่อจะได้เกิดสมาธิที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว รวมลงเพื่อเข้าสู่การพิจารณาวิปัสานากรรมฐานได้เห็นตามความเป็นจริง  สิ่งนั้นก็คือ จิตรวมลงแน่วแน่ที่ลมหายใจบางคร้ังอาจจะเร่ิมรู้สึกว่า ลมน้อยลง ๆ และไม่ได้บังคับอะไร แค่มีจิตเป็นผู้รู้

อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท เป็นการเจริญสมาธิในขั้นฌาน ถือเป็น ความสำเร็จสูงสุดของการเจริญสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป

อัปปนาสมาธิ
ทำในรูปแบบด้วยการนั่งสมาธิ ทำไปสักพักลมหายไป รู้สึกเหมือนหายใจด้วยหน้าอก และเริ่มเห็นจิตคิดเรื่องต่างๆ สลับไปมา และความคิดก็น้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็เห็นเพียงแต่การหายใจด้วยหน้าอก และนิ่งๆ อยู่แบบนั้น

(เครดิตเพจ https://www.dhamma.com/tag/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4/)

สุดท้ายนี้ขอฝากผู้อ่านบทความว่า จุดมุ่งหมายของศาสนาคือ เป็นเครื่องขนทุกข์ออกจากจิตใจของสัตว์โลก ไม่มีสิ่งอื่นใด ดังนั้นการนั่งสมาธิภาวนาก็เป็นเครื่องมือเร่ิมต้นให้เรานำจิตไปสู่การพ้นทุกข์อย่างมีสติ และหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด  อย่าไปหลงหรือทะนงว่า เรานั่งขั้นนี้ขั้นโน้นดีเด่นกว่าใครหรือสูงกว่าใคร เพราะถ้ายังอยู่ในโลกนี้แล้วขึ้นชื่อว่า ยังอยู่ในวัฏฏะสงสายด้วยกันทั้งหมด จะเหาะได้ หรือมีพลังวิเศษอะไรสุดท้าย ก็จะต้องตายจากกันไป เพราะความตายหรือมรณะนั้นไม่มีใครต้านทานได้

 

 

อุปจารสมาธิ คืออะไร สมาธิที่แน่วแน่ของจิต

อุปจารสมาธิ คืออะไร สมาธิที่แน่วแน่ของจิต

อุปจารสมาธิ หลายท่านยังสงสัยว่าคือสมาธิที่มีลักษณะอย่างไร และเป็นสมาธิขั้นใด มีการปฏิบัติและฝึกอย่างไร ในการนั่งสมาธิ ซึ่งโดยปกติแล้วหลายท่านมักจะได้จะได้ยินคำว่า อาณาปณสติ หรือคำอื่น ๆ เช่น ขณิกสมาธิ ซึ่งทำให้การปฏิบัติเกิดความลังเลสงสัยยิ่งทำให้เกิดวิจิกิจฉาที่มาจากนิวรณ์ จะทำให้เกิดเบื่อและเบิกการนั่งสมาธิไป

เรายกเลิกความกังวลและสงสัยทั้งหมดก่อน  แล้วมาเร่ิมจากว่าเราทำสมาธิทำไมเพื่ออะไร

ความหมายของสมาธิ

แปลตามบาลีแปลว่า ความตั้งใจมั่น

สมาธิในความหมายของพจนานุกรม แปลว่า ที่ตั้งมั่นแห่งจิต

การทำสมาธิในทางพุทธศาสนา เรียกว่าสมถะ

สมาธิกับสมถะนั้นเกี่ยวข้องอย่างไรแล้วทำไมแล้วครูบาอาจารย์บางท่านมักสอนให้ทำสมถะก่อนหรือทำสมาธิให้นิ่งเสียก่อน  เพราะว่าจิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความสงบต้องมีเสียก่อนถึงจะพิจารณาให้เป็นธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ได้อย่างแจ่มแจ้งได้ชัดเจน ง

ทำสมถะก่อน เพราะ คนเราที่หัดนั่งมาธิใหม่ นั่น  จะรู้สึกเหมือนลิงกระโดดไปกิ่งไม้ไปมา และเผลอไปคิดโน่นคิดนี่ ทำให้เวลานั่งสมาธิแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายแล้วรู้สึกว่าทำไปไม่เกิดอะไร  ดังนั้นจึงต้องนำ “อาณาปาณสติการฝึกดูลมหายใจเข้ามาเป็นกุศโลบายแห่งจิต(1ใน 40 กองกรรมฐาน)” แล้วควบไปกับ พุธธานุสาติ คือ เมื่อลมหายใจเข้า ก็ตั้งจิตว่ารู้ลมหายใจเข้า แล้วกำหนดว่าพุธ แล้วปล่อยลมหายใจออกรู้ว่าลมหายใจออก ภาวนาจิตต้ังให้รู้ว่าโธ ดังนี้ไปเรื่อย ๆ

ที่สำคัญคือ ไม่ต้องบังคับว่าจะต้องลมต้องเข้าหายใจเร็วหรือแรง แล้วปล่อยลมหายใจให้เร็วหรือสั้น  เอาง่าย ๆ เคล็ดลับคือ หายใจเข้าได้แบบไหนก็ดูให้รู้ว่าได้เท่านี้แล้วก็ปล่อยออกตามธรรมชาติ วันนี้อาจจะปล่อยออกมาเร็วหรือช้าต่างกัน แต่พอทำไปเรื่อย ๆ นั้นจะปล่อยได้เองตามธรรมชาติจนเราลืมไปว่าเราไม่ได้บังคับมัน มันจะหายใจเข้าและหายใจออกเองแบบธรรมชาติของสมาธิ

“เมื่อทำได้แบบไม่บังคับ วันนี้ลมจะสั้น ก็ช่างมัน ฉันแค่รู้ว่าลมมันเคลื่อนเข้าไปจาก ปลายจมูก ผ่านหน้าอก ลงสู่ท้อง แล้วลมก็ออกมาเอง จากผ่านหน้าท้อง ผ่านหน้าอก ออกมาที่ปลายจมูก  แล้วจะพบว่าไม่อึดอัดแล้ว ทำให้มีความสุขกับการนั่งได้มากขึ้น จิตเร่ิมไม่สนใจรอบข้าง จากนั่ง 5 นาทีแล้วรู้สึกว่าเคยนานจะรู้สึกว่าเหมือนแค่หลับตาแป้ปเดียวผ่านไปเร็ว  ก็จะขยับไป20นาทีเอง จากนั้นก็จะไประดับชั่วโมงได้เอง

แต่ขอย้ำว่า ไม่ต้องสนใจว่าจะนั่งนาน หรือ สั้น เวลาจะผ่านไปแค่ไหน ให้รู้เพียงว่า จิตลงรวมในสมาธิ แล้วจะรู้สึกเหมือนกล่องเปล่า ๆ สงบ นี่คือ สมถะ

ถ้าเรามีสมถะ คือความที่จิตลงรวมอย่างสงบ  มักจะเรียกสิ่งนี้ว่า ขณิกสมาธิ คือ จิตเร่ิมลงรวมสงบนิ่ง   จากนี้ก็จะปฏิบิตต่อไปเป็นขั้นต่อไปคืออุปจารสมาธิ

 

อุปจารสมาธิ คืออะไร

อาการที่จิตจวนจะรวมเข้าสู่อัปปนา ซึ่งจะรวมแหล่มิรวมแหล่ แต่ไม่ฟุ้งซ่านสอดส่ายออกไปภายนอก ยึดเอาอารมณ์เป็นอุปาทานเครื่องถือมั่น จะละก็ไม่ใช่ จะเอาก็ไม่เชิง มีความลังเลเป็นสมุฏฐานอาการที่จิตจวนจะรวมเข้าสู่อัปปนา ซึ่งจะรวมแหล่มิรวมแหล่ แต่ไม่ฟุ้งซ่านสอดส่ายออกไปภายนอก ยึดเอาอารมณ์เป็นอุปาทานเครื่องถือมั่น จะละก็ไม่ใช่ จะเอาก็ไม่เชิง มีความลังเลเป็นสมุฏฐาน

เครดิตจากเพจ https://mgronline.com/dhamma/detail/9580000074829

สรุปสมาธิมีกี่ระดับ

แบบเบื้องต้นเพราะตามตำราแล้วจะมีลึกลงไปทำให้เราสับสนได้ ดังนั้นไม่ต้องกังวลสนใจระดับขอให้ปฏิบัติเรื่อย ๆ

สมาธิแบ่งออกเป็น 3 ระดับ

1. ขฌิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะ ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถนำมาใช้การงานในชีวิตประจำวัน เช่นใช้อ่านหนังสือ หรือขับรถ

ขณิกสมาธิ เหมือนเด็กที่เพิ่งหัดเดิน

ขณิก(ชั่วขณะ) + สมาธิ(ความทรงไว้พร้อม ความตั้งมั่น)

สมาธิที่เป็นไปชั่วขณะ หมายถึง เอกัคคตาเจตสิกที่เกิดกับจิต ที่เป็นไปตามปกติของบุคคลทั่วไป เช่น ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สัมผัส ขณะที่ยืน เดิน นั่ง นอนตามปกติ ก็มีขณิกสมาธิเกิดร่วมด้วย

 

2. อุปจารสมาธิสมาธิเฉียด ๆ หรือจวนจะแน่วแน่ อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่มากกว่าขณิกสมาธิ แต่แน่วแน่น้อยกว่า

อุปจารสมาธิเหมือนเด็กที่เดินได้คล่องและเร่ิมจะวิ่ง

ป็นสมาธิที่เริ่มเป็นหนึ่ง ข้อสังเกตง่ายๆ ของผู้ปฏิบัติสมาธิ คืออารมณ์กรรมฐานเริ่มเป็นหนึ่ง เสียงหรืออารมณ์ภายนอกไม่สมารถเข้ามารบกวน ให้อารมณ์กรรมฐานถอยออกมาง่าย

 

3. อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท เป็นการเจริญสมาธิในขั้นฌาน ถือเป็น ความสำเร็จสูงสุดของการเจริญสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป

อัปปะนาสมาธิของปฐมฌาน เปรียบดังเด็กที่วิ่งได้อย่างคล่องแคล่ว

หมายถึงหมดความรู้สึกไปชั่วขณะหรือเป็นขณะๆ หรือเป็นวัน ตามกำลังสมาธิและความชำนาญ

เครดิตจากเพจ https://dharayath.com

ทำบุญครบ 1 ปี ต้องจัดเตรียมอย่างไร สำหรับผู้ล่วงลับ

ทำบุญครบ 1 ปี ต้องจัดเตรียมอย่างไร สำหรับผู้ล่วงลับ

ทำบุญครบ 1 ปี เป็นประเพณีสืบทอดกันมาอย่างหนึ่งที่รำลึกถึงผู้ล่วงลับและต้องการที่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลผลบุญ แด่บุคคลที่ล่วงลับ รวมถึงขออโหสิกรรมต่างๆ ที่ได้ล่วงเกินต่อผู้ล่วงลับ อีกทั้งยังได้เป็นโอกาสที่ครอบครัวพี่น้องได้กลับมารวมตัวกันพบประ พูดคุยในเรื่องต่างๆ กันด้วย ดังนั้น การจัดเตรียมนั้นอาจจะมีสิ่งของหลายอย่างเพื่อใช้ในงาน บางท่านอาจจะจำไม่ได้ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง

 

วันพระ เฉพาะวันพระขึ้น 15 ค่ำ: เป็นวันที่ยมโลกนรกหยุดทัณฑ์ทรมานให้สัตว์นรก 1 วันโลกมนุษย์ สัตว์นรกมีทุกขเวทนาเบาบางลง จึงมีโอกาสระลึกถึงบุญกุศลที่ตนทำและอนุโมทนาส่วนบุญที่ผู้อื่นอุทิศให้ได้เต็มที่ ส่วนญาติที่เกิดเป็นเทวดาก็จะนิยมมาฟังธรรมในวันพระและตรวจดูการทำบุญกุศลและอนุโมทนาบุญกับผู้ที่ทำความดีในโลกนี้ เราจึงควรทำบุญตักบาตร และ ถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร เพื่ออุทิศบุญให้แก่ผู้ล่วงลับ

วันครบรอบวันตาย 7 วัน: ในกรณีที่ผู้ตายไปแล้วเป็นผู้ที่ทำกรรมดีและชั่วไม่มากพอ บุญบาปที่ตนทำในโลกนี้ยังไม่ส่งผลในทันที ผู้ตายจะวนเวียนอยู่ 7 วันเพื่อให้มีโอกาสระลึกถึงบุญกุศลได้ หากผู้ตายระลึกถึงบุญกุศลที่ตนเคยทำได้ หรือ หากญาติมิตรทำบุญอุทิศให้อย่างถูกวิธี และอนุโมทนาบุญ ผลบุญนั้นก็จะพาไปเกิดในที่ดี เราจึงควรทำบุญตักบาตร และ ถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร เพื่ออุทิศบุญแก่ผู้ล่วงลับในวันนี้แช่นกัน

วันครบรอบวันตาย 50 วัน: ในกรณีที่ผู้ตายถูกเจ้าหน้าที่ยมโลกพาไปยมโลกแล้ว ช่วงระหว่างเวลา 50 วันหลังตาย คือช่วงเวลาที่ผู้ตายกำลังรอคอยลำดับคิวการพิพากษาตั้งแต่ถูกลากตัวไปจากมนุษย์โลก ผ่านประตูยมโลก อยู่หน้าลานรอขานชื่อเพื่อเข้าพบพระยายมราช

*พระยายมราช คือ เทพชั้นจาตุมหาราชิกาประเภทหนึ่งที่มีกรรมเกี่ยวพันด้านกฎหมาย ชอบตัดสินคดีความด้วยความซื่อสัตย์ตอนสมัยเป็นมนุษย์และทำบุญ หรือเมื่อทำบุญก็ตั้งความปรารถนาไว้

วันครบรอบวันตาย 100 วัน: ช่วงเวลาระหว่าง 51 ถึง 100 วัน คือช่วงกำลังถูกพิพากษา พระยายมราชจะซักถามความประพฤติตอนสมัยเป็นมนุษย์ และจะส่งไปเกิดเป็นอะไรต่ออะไร ช่วงนี้ถ้าญาติทำบุญตักบาตร หรือถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร และอุทิศบุญไปให้ก็ยังรับบุญได้

เครดิตเพจจาก https://dharayath.com/

ทำบุญครบ 1 ปี ต้องจัดเตรียมอย่างไร

นิยมทำกันอยู่ 2 แบบ คือ การทำบุญวันเดียว กับทำบุญแบบสองวัน

ทำบุญวันเดียว เจ้าภาพจะต้องนิมนต์พระสงฆ์จำนวน 5 รูป, 7 รูป หรือ 9 รูป มาสวดเจริญพระพุทธมนต์ และเลี้ยงอาหารพระให้เสร็จสิ้นภายในวันเดียวกัน โดยอาจจะทำในช่วงที่พระฉันเช้าหรือฉันเพล ตามความสะดวกของเจ้าภาพก็ได้

ส่วนในกรณีที่ทำบุญแบบสองวัน เจ้าภาพจะต้องนิมนต์พระสงฆ์จำนวน 5 รูป, 7 รูป หรือ 9 รูป มาสวดเจริญพระพุทธมนต์ในตอนเย็น และในวันรุ่งขึ้นก็เลี้ยงอาหารพระในตอนเช้าหรือตอนฉันเพล โดยเจ้าภาพสามารถจัดให้มีการแสดงธรรมเทศนาด้วยก็ได้

เครดิตข้อมํลจากเพจ

Pin It on Pinterest