


กฐิน วัดป่าบ้านตาด (หลวงตามหาบัว) ประจำปี 2566 วันที่ 4 พฤศจิกายน 2566
ขอเชิญร่วมทำบุญ
งานกฐินสามัคคีวัดป่าบ้านตาด ในวันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2566
ร่วมตักบาตรพระสงฆ์ และ ทอดกฐินสามัคคี
ติดต่อโรงทาน : 081-964-5325
ร่วมทำบุญผ่านทาง
ธ.ไทยพาณิชย์
ชื่อบัญชี กฐินสามัคคี วัดป่าบ้านตาด
เลขบัญชี 510-4-33299-3

กฐิน วัดป่านาคำน้อย ปี 2566 อาทิตย์ที่ 5 พ.ย. จังหวัดอุดรธานี
ขอเชิญร่วมทำบุญ
งานกฐินสามัคคีวัดป่านาคำน้อย
ในวันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2566
・เย็น วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2566
ตั้งกองกฐิน และร่วมทำวัตร เจริญพระพุทธมนต์
・เช้า วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2566
ร่วมตักบาตรพระสงฆ์ และ ทอดกฐินสามัคคี
ติดต่อจองโรงทาน : 086-224-3444 และ 083-994-6616
ร่วมทำบุญผ่านทาง
ธ.ไทยพาณิชย์
ชื่อบัญชี วัดนาคำน้อย เพื่องานกฐินประจำปี
เลขบัญชี 433-0-43447-8
ข้อมูลเพิ่มเติมแอดไลน์ออฟิเชียลของทางวัด
https://lin.ee/UxA2Vev
(ที่มาจากเพจ https://www.facebook.com/LuangpoInthawaiSantussako)
คำเทศนาสำคัญ เกี่ยวกับ กฐิน โดยหลวงพ่ออินทร์ถวาย
ปีหนึ่งก็มีเพียงครั้งเดียวเรื่องการทอดกฐิน ความเป็นมาของกฐิน พระพุทธเจ้าทรงปรารภพระสงฆ์ที่จำพรรษาเดินทางไกลมากราบพระพุทธเจ้ามาไม่ทัน เลยจำพรรษาอยู่ที่เมืองสาเกต ห่างจากวัดป่าเชตวันมหาวิหารพอสมควร
ทีนี้เมื่อจำพรรษาแล้ว ในพรรษานั้นก็คิดถึงพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา อยากจะถามธรรมะที่ได้ปฏิบัติมาถึงความข้องใจในการปฏิบัติ อยากจะกราบทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า แต่พอมาถึงจุดนั้นก็เป็นเวลาเข้าพรรษาเสียก่อน คือพระพุทธเจ้าท่านให้เข้าพรรษาเดือนแปดเพ็ญ แล้วก็ออกพรรษาเดือนสิบเอ็ดเพ็ญ ถ้าหากว่ามีความจำเป็นจริง ๆ ก็ให้เข้าได้เดือนสิบเพ็ญ ไปออกเดือนสิบสองเพ็ญ แปลว่าพรรษาหลัง แต่นอกนั้นถ้าหากใครไม่เข้าพรรษา พระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติวินัยว่าปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุที่ไม่เข้าพรรษา ผิดศีลไปข้อหนึ่ง เพราะฉะนั้น พระสงฆ์เหล่านั้นมาถึง เลยอยู่จำพรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วฟ้าฝนยังไม่หายดี ก็เดินทางมากราบพระพุทธเจ้า เดินผ่านท้องไร่ท้องนาทุรกันดาร น้ำยังไม่หายขาด ทำให้จีวรของพระเหล่านั้นแปดเปื้อนไปหมด
พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติวินัยขึ้นมา ท่านปรารภว่า พระเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องเอาผ้ามาทั้งสามผืนไตรจีวร เพียงแค่สบงกับผ้าจีวรก็พอ สังฆาฏิจะเก็บเอาไว้ก็ได้ ลักษณะอย่างนั้น ก็เลยทรงบัญญัติวินัยเกี่ยวกับกฐินขึ้นมา บัญญัติอานิสงส์กฐิน ถ้าจะว่าไปแล้วก็เกี่ยวกับพระโดยเฉพาะ
อานิสงส์ก็คือเป็นการยกเว้นบางสิ่งบางอย่างให้แก่พระ เรียกว่าอานิสงส์กฐิน ไม่เหมือนพวกเราทำบุญทำทาน พวกเรารักษาศีลภาวนา อันนั้นแปลว่าอานิสงส์การทำบุญทำทานนั้น เป็นอานิสงส์ของจิตใจ อันนี้เป็นอานิสงส์ด้านวินัย ที่เป็นการยกเว้นบางสิ่งบางอย่างให้แก่พระสงฆ์เท่านั้นเอง อันนี้เป็นเรื่องเฉพาะของพระสงฆ์
ส่วนอานิสงส์ในการทำบุญทำทานของพวกเราก็คือ การถวายผ้ากฐินถวายแด่พระสงฆ์ให้ใช้ องค์ไหนผ้าจีวรสบงชำรุดทรุดโทรม ถวายผ้าให้พระสงฆ์ได้เย็บได้ตัดได้ใช้ อันนี้ก็คือผ้ากฐิน มีกำหนดเพียงเดือนเดียวตั้งแต่วันออกพรรษาเดือนสิบเอ็ดเพ็ญไปจนถึงเดือนสิบสองเพ็ญ แปลว่าหมดเขตกฐินเพียงแค่นั้น
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
พระธรรมเทศนา “อานิสงส์ลำดับขั้น ทาน ศีล ภาวนา”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๖

กฐิน และ ผ้าป่า คืออะไร ? และมีอานิสงส์เสริมดวงชีวิตอย่างไร
กฐิน เป็นศัพท์ในพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นชื่อเรียกผ้าไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว สามารถรับมานุ่งห่มได้ โดยคำว่าการทอดกฐิน หรือการกรานกฐิน จัดเป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่งตามพระวินัยบัญญัติเถรวาทที่มีกำหนดเวลา คือพระสงฆ์สามารถกระทำสังฆกรรมนี้ได้นับแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ และอนุเคราะห์ภิกษุผู้ทรงคุณที่มีจีวรชำรุด1 ดังนั้นกฐินจึงจัดเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังฆกรรมของพระสงฆ์โดยจำเพาะ ซึ่งนอกจากในพระวินัยฝ่ายเถรวาทแล้ว กฐินยังมีในฝ่ายมหายานบางนิกายอีกด้วย แต่จะมีข้อกำหนดแตกต่างจากพระวินัยเถรวาท
กฐินคืออะไร
กฐิน เป็นศัพท์บาลี แปลตามศัพท์ว่าไม้สะดึง คือ “กรอบไม้” หรือ “ไม้แบบ” สำหรับขึงผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรในสมัยโบราณ ซึ่งผ้าที่เย็บสำเร็จจากกฐินหรือไม้สะดึงแบบนี้เรียกว่า ผ้ากฐิน (ผ้าเย็บจากไม้แบบ)
อาจจำแนกตามความหมายเพื่อความเข้าใจง่ายได้ดังนี้
- กฐินเป็นชื่อของกรอบไม้แม่แบบ (สะดึง) สำหรับทำจีวร ดังกล่าวข้างต้น
- กฐินเป็นชื่อของผ้าที่ถวายแก่พระสงฆ์เพื่อกรานกฐิน (โดยได้มาจากการใช้ไม้แม่แบบขึงเย็บ)
- กฐินเป็นชื่อของงานบุญประเพณีถวายผ้าไตรจีวรแก่พระสงฆ์เพื่อกรานกฐิน
- กฐินเป็นชื่อของสังฆกรรมการกรานกฐินของพระสงฆ์
กฐินมีที่มาอย่างไร
กฐิน เป็นบุญถวายผ้าไตรจีวรแด่พระสงฆ์ ซึ่งจำพรรษาแล้ว เริ่มตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึง วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นเขตทอดกฐินตามหลักพระวินัย
มูลเหตุมีการทำบุญกฐินซึ่งมีเรื่องเล่าว่า พระภิกษุชาวเมืองปาฐา 30 รูป จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเชตวันมหาวิหาร แต่จวนใกล้กำหนดเข้าพรรษาเสียก่อน จึงหยุดจำพรรษาที่เมืองสาเกต พอออกพรรษาแล้วก็รีบพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทั้ง ๆ ที่ผ้าสบงจีวรเปื้อนเปรอะ เนื่องจากระยะทางไกลและฝน ผ้าสบงจีวรจึงเปียกน้ำและเปื้อนโคลน จะหาผ้าผลัดเปลี่ยนก็ไม่มี พระพุทธเจ้าทรงเห็นความลำบากของพระภิกษุเช่นกัน จึงมีพุทธบัญญัติให้พระภิกษุแสวงหาผ้าและรับผ้ากฐินได้ตามกำหนด จำกัดประเภททาน คือ ต้องเป็นถวายสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอย่างอื่นไม่ได้ จำกัดเวลา คือกฐินเป็นกาลทานอย่างหนึ่ง (ตามพระบรมพุทธานุญาต) ดังนั้นจึงจำกัดเวลาว่าต้องถวายภายในระยะเวลา 1 เดือน นับแต่วันออกพรรษา เป็นต้นไป จำกัดงาน คือ พระภิกษุที่กรานกฐินต้องตัด เย็บ ย้อม และครองให้เสร็จภายในวันที่กรานกฐิน จำกัดไทยธรรม คือ ผ้าที่ถวายต้องถูกต้องตามลักษณะที่พระวินัยกำหนดไว้ จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุผู้รับกฐิน ต้องเป็นผู้ที่จำพรรษาในวัดนั้นโดยไม่ขาดพรรษาตั้งแต่1รูปขึ้นไป และจะใช้5รูปขึ้นไปในการกรานกฐินในโบสถ์เท่านั้น จำกัดคราว คือ วัด ๆ หนึ่งรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น เป็นพระบรมพุทธานุญาต ทานอย่างอื่นทายกทูลขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาต เช่น มหาอุบาสิกาวิสาขาทูลขออนุญาตผ้าอาบน้ำฝน แต่ผ้ากฐินนี้พระองค์ทรงอนุญาตเอง นับเป็นพระประสงค์โดยตรง
อานิสงส์ของการทอดกฐิน
1. เป็นการสงเคราะห์พระภิกษุที่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสให้ได้รับอานิสงส์ตามพุทธบัญญัติ 2.เป็นการเทิดทูนพระพุทธบัญญัติเรื่องกฐินให้คงอยู่สืบไป นับได้ว่าบูชาพระพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติบูชาส่วนหนึ่ง 3.สืบต่อประเพณีกฐินทาน มิให้เสื่อมสลายไปจากวัฒนธรรมประเพณีของคนไทย ซึ่งบรรพบุรุษนำสืบต่อกันมามิขาดสาย 4.การทอดกฐินเป็นการถวายทานโดยมิเจาะจงบุคคลโดยเฉพาะ แต่ถวายแก่หมู่สงฆ์เป็นส่วนรวมจึงเข้าลักษณะเป็นสังฆทาน ที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ ว่ามีผลานิสงส์มาก 5.การร่วมบำเพ็ญกฐินทาน เป็น “กาลทาน” คือเป็นทานที่ถวายได้ภายในเวลาที่มีพระพุทธานุญาตกำหนด จึงมีอานิสงส์เป็นพิเศษ 6.ในการทอดกฐิน ส่วนใหญ่เป็นการร่วมมือร่วมใจกันของคนจำนวนมากเพื่อสร้างความดีงาม จึงเป็นการเสริมสร้างพลังสามัคคีขึ้นในสังคมอีกทางหนึ่งด้วย
ผ้าป่า
คือ ผ้าที่ผู้ถวายนำไปวางพาดไว้บนกิ่งไม้เพื่อให้พระชักเอาไปเองโดยไม่กล่าวคำถวายหรือประเคนเหมือนถวายของทั่วไป กริยาที่พระหยิบผ้าไปใช้แบบนั้น เรียกว่า “ชักผ้าป่า” ส่วนการถวายผ้าป่านิยมจัดของใช้เป็นบริวารผ้าป่าเหมือนบริวารกฐินเรียกว่า “ทอดผ้าป่า”
การทอด ผ้าป่า จัดเป็นการทำบุญที่นิยมกันมากในปัจจุบัน โดยมีชื่อเรียกตามลักษณะการรวมกันของเครื่องบริวาร หรือตามวัตถุประสงค์ของการทำบุญที่เกี่ยวกับงานที่จัดขึ้น วิธีการทอดผ้าป่านั้นไม่จำเป็นต้องนำผ้าไปวางทิ้งหรือทอดไว้ในป่าอีกเพราะขยายจากการทอดผ้า เป็นเงินหรือสิ่งของที่บริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์โดยปรับเปลี่ยนให้เข้าตามยุคตามสมัยสังคม ถือตามความสะดวกของสาธุชนผู้มาร่วมประกอบพิธี ซึ่งถือว่าได้อุปโลกน์เป็นผ้าป่าไปแล้ว
ประเภทของ ผ้าป่า
ในปัจจุบันประเภทของผ้าป่ามีชื่อเรียก 3 อย่าง คือ
- ผ้าป่าหางกฐิน ได้แก่ ผ้าป่าที่เจ้าภาพจัดให้มีขึ้นต่อจากการทอดกฐิน หรือเรียก ผ้าป่าแถมกฐิน
- ผ้าป่าโยง ได้แก่ ผ้าป่ามราจัดทำรวมๆ กันหลายๆ กอง นำบรรทุกเรือแห่ไปทอด ตามวัดต่างๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำ จะมีเจ้าภาพเดียวหรือหลายเจ้าภาพก็ได้
- ผ้าป่าสามัคคี ได้แก่ ผ้าป่าที่มีการแจกฎีกาบอกบุญไปตาม สถานที่ต่างๆ ให้ร่วมกันทำบุญแล้วแต่ศรัทธา โดยจัดเป็นกองผ้าป่ามารวมกัน จะเป็นกี่กองก็ได้ เมื่อถึงวันทอด จะมีขบวนแห่ผ้าป่ามารวมกันที่วัด บางที่ก็มีจุดประสงค์เพื่อหาเงินไปสร้างถาวรวัตถุต่างๆ เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ เป็นต้น
พิธีทอด ผ้าป่า
เจ้าภาพไปแจ้งความประสงค์ที่จะทอดผ้าป่ากับทางเจ้าอาวาส เรียกว่า เป็นการจองผ้าป่า และทำกากำหนดเวลา จากนั้นก็ทำการตั้งองค์ผ้าป่า ซึ่งสิ่งที่การทอดผ้าป่าต้องมี คือ ผ้า กิ่งไม้สำหรับพาดผ้า ให้อุทิศถวาย ไม่เจาะจงพระรูปใด รูปหนึ่ง
การตั้งองค์ผ้าป่า
เจ้าภาพต้องจัดหาผ้าสำหรับพระภิกษุมาผืนหนึ่ง อาจเป็นสบง จีวร สังฆาฏิ หรือทั้ง 3 อย่าง แล้วแต่ศรัทธา จากนั้นให้นำกิ่งไม้ไปปักไว้ในภาชนะที่มีขนาดพอสมควร เพื่อใช้เป็นที่พาดผ้าป่า และใช้สำหรับนำสิ่งของเครื่องใช้ที่จะนำไปถวายพระ เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผ้าเช็ดตัว ผ้าอาบน้ำฝน สมุด ดินสอ เป็นต้น ในส่วนของปัจจัย (เงิน) นิยมนำไปเสียบไว้กับต้นกล้วยที่มีขนาดเล็กในกองผ้าป่า
การนำผ้าป่าไปทอด
ในปัจจุบันการทอดผ้าป่านับว่าเป็นงานค่อนข้างใหญ่ ต้องมีการจองผ้าป่า เพื่อแจ้งให้ทางวัดทราบกำหนดการต่างๆ จะได้จัดเตรียมการต้อนรับ เมื่อถึงกำหนด ก็จะมีการแห่องค์ผ้าป่ามาเป็นกลองยาว แตวง อย่างครึกครื้น สนุกสนาน บ้างก็อาจจะมีการละเล่นพื้นบ้าน หรือร่วมร้องเพลง รำวงกัน
การทอดผ้าป่า
นำผ้าป่าไปวางตรงหน้าพระภิกษุสงฆ์ กล่าวถวายผ้าป่า พระสงฆ์รูปหนึ่งก็จะลุกขึ้นเดินถือตาลปัตรมาชักผ้าบังสกุลที่องค์ผ้าป่า โดยกกล่าวคำปริกรรมว่า “อิมัง ปังสุกล ละจีวะรัง อัสสามิกัง มัยหัง ปาปุณาติ” แปลเป็นใจความได้ว่า “ผ้าบังสุกุลผืนนี้เป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของหวงแหน ย่อมตกเป็นของข้าพเจ้า ต่อจากนั้นพระสงฆ์ จึงสวดอนุโมทนาในผลบุญ เจ้าภาพกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล เป็นอันเสร็จพิธี”
อานิสงส์บุญทอดผ้าป่า
1.ทำให้มั่งคั่งด้วยโภคทรัพย์สมบัติ 2.ทำให้ประสบความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน 3.ทำให้เป็นผู้มีสัมมาทิฐิ พบเจอแต่บัณฑิต กัลยาณมิตร เพราะบูชาบุคคลที่ควรบูชา 4.ทำให้มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพศรัทธาของมหาชน
การถวาย กฐิน หรือ บุญผ้าป่า เป็นกุศลผลบุญที่ใหญ่หลวง ผู้ถวายจะปรารถนาความสำเร็จใด ๆ ในภพชาติใหม่ ก็จะให้สำเร็จได้ดังมโนรถความปรารถนา หรือถ้าจะปรารถนาพุทธภูมิก็ดี ปัจเจกภูมิก็ดี สาวกภูมิก็ดี สาวิกาภูมิก็ดี เมื่อมีวาสนาบารมีแก่กล้าแล้วก็จะได้สำเร็จดังมโนปณิธาน หรือความปรารถนาที่ตั้งไว้
ขอขอบคุณ เว็บธาราญา ในการแบ่งปันความรู้ครับ

กำหนดกฐินสามัคคี วัดมกุฏคีรีวัน เขาใหญ่ ประจำปี 2565
