โดย admin | มิ.ย. 21, 2024 | บทความน่าสนใจ, วันสำคัญทางศาสนา
วันอาสาฬหบูชา ปีนี้ 2567 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ปีนี้ตรงกับวันที่ 20 กรกฎาคม 2567 มีความสำคัญกับชาวพุทธเป็นอย่างมาก พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ ถือกำเนิดเร่ิมต้นในวันนี้เมื่อ 2500กว่าปีที่ผ่านมา
วันอาสาฬหบูชา 2667 ประวัติและความสำคัญ
วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ปีนี้ตรงกับวันที่ 20 กรกฎาคม 2567
คำว่า “อาสาฬหบูชา” มาจากภาษาบาลี ประกอบด้วยคำว่า “อาสาฬห” แปลว่า เดือน 8 และคำว่า “บูชา” แปลว่า การบูชา ดังนั้น วันอาสาฬหบูชา จึงหมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน 8
ประวัติวันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชา ตรงกับ วันเพ็ญ เดือน ๘ ก่อนปุริมพรรษา (ปุริมพรรษาเริ่ม ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ในปีที่ไม่มีอธิกมาสเป็นต้นไป ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑) ๑ วัน เป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือ เทศน์กัณฑ์แรก ชื่อว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โปรดพระปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมือง พาราณสี ในปีแรกที่ทรงตรัสรู้และเพราะผลของพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้เป็นเหตุให้ท่าน พระโกณฑัญญะในจำนวนพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้ธรรมจักษุ (โสดาปัตติมรรค หรือ โสดาปัตติมรรคญาณ คือญาณที่ทำให้สำเร็จเป็นโสดาบัน) ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญา รู้เห็นความจริงว่า สิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีความดับไป เป็นธรรมดา แล้วขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระองค์ เป็นพระอริยสงฆ์องค์แรกของ พระพุทธศาสนา และทำให้พระรัตนตรัยครบองค์ ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
นับแต่วันที่สมเด็จพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ คือ ในวันเพ็ญเดือน ๖ พระองค์ประทับเสวยวิ มุตติสุขในบริเวณโพธิมัณฑ์นั้น ตลอด ๗ สัปดาห์ คือ
– สัปดาห์ที่ ๑ คงประทับอยู่ที่ควงไม้อสัตถะอันเป็นไม้มหาโพธิ์ เพราะเป็นที่ตรัสรู้ ทรงใช้ เวลาพิจรณาปฏิจจสมุปปาทธรรมทบทวนอยู่ตลอด ๗ วัน
– สัปดาห์ที่ ๒ เสด็จไปทางทิศอีสานของต้นโพธิ์ ประทับยืนกลางแจ้งเพ่งดูไม้มหาโพธิ์โดย ไม่กระพริบพระเนตรอยู่ในที่แห่งเดียวจนตลอด ๗ วัน ที่ที่ประทับยืนนั้นปรากฎเรียกในภายหลังว่า “อนิสิมสสเจดีย์”
– สัปดาห์ที่ ๓ เสด็จไปประทับอยู่ในที่กึ่งกลางระหว่างอนิมิสสเจดีย์ กับต้นมหาโพธิ์แล้วทรง จงกรมอยู่ ณ ที่ตรงนั้นตลอด ๗ วัน ซึ่งต่อมาเรียกที่ตรงนั้นว่า “จงกรมเจดีย์”
– สัปดาห์ที่ ๔ เสด็จไปทางทิศพายัพของต้นมหาโพธิ์ ประทับนั่งขัดบัลลังก์พิจารณาพระอภิ ธรรมอยู่ตลอด ๗ วัน ที่ประทับขัดสมาธิเพชร ต่อมาเรียกว่า”รัตนฆรเจดีย์”
– สัปดาห์ที่ ๕ เสด็จไปทางทิศบูรพาของต้นมหาโพธิ์ประทับที่ควงไม้ไทรชื่ออชาปาลนิโครธ อยู่ ตลอด ๗ วัน ในระหว่างนั้น ทรงแก้ปัญหาของพราหมณ์ผู้หนึ่งซึ่งทูลถามในเรื่องความเป็นพราหมณ์
– สัปดาห์ที่ ๖ เสด็จไปทางทิศอาคเนย์ของต้นมหาโพธิ์ ประทับที่ควงไม้จิกเสวยวิมุตติสุขอยู่ ตลอด ๗ วัน ฝนตกพรำตลอดเวลา พญานาคมาวงขดล้อมพระองค์และแผ่พังพานบังฝนให้พระองค์ทรงเปล่งพระอุทานสรรเสริญความสงัดและความไม่เบียดเบียนกันว่าเป็นสุบในโลก
– สัปดาห์ที่ ๗ เสด็จย้ายสถานที่ไปทางทิศใต้ของต้นมหาโพธิ์ ประทับที่ควงไม้เกดเสวยวิมุตติ สุขตลอด ๗ วัน มีพาณิช ๒ คน ชื่อ ตปุสสะ กับ ภัลลิกะเดินทางจากอุกกลชนบทมาถึงที่นั้น ได้เห็นพระพุทธองค์ประทับอยู่ จึงนำข้าวสัตตุผงข้าวสัตตุก้อน ซึ่งเป็นเสบียงกรังของตนเข้าไปถวายพระองค์ทรงรับเสวยเสร็จแล้ว สองพาณิชก็ประกาศตนเป็นอุบาสก นับเป็นอุบาสกคู่แรกในประวัติกาลทรงพิจารณาสัตว์โลกเมื่อล่วงสัปดาห์ที่ ๗ แล้ว พระองค์เสด็จกลับมาประทับที่ควงไม้ไทรชื่ออชาปาลนิโครธอีก ทรงคำนึงว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นี้ ลึกซึ้งมาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม จีงท้อพระทัยที่สอนสัตว์ แต่อาศัยพระกรุณาเป็นที่ตั้ง ทรงเล็งเห็นว่าโลกนี้ผู้ที่พอจะรู้ตามได้ก็คงมี ตอนนี้แสดงถึงบุคคล ๔ เหล่า เปรียบกับดอกบัว ๔ ประเภท คือ
๑. อุคฆฏิตัญญู ได้แก่ ผู้ที่มีอุปนิสัยสามารถรู้ธรรมวิเศษได้ทันทีทันใดในขณะที่มีผู้สอนสั่ง สอนเปรียบเทียบ เหมือนดอกบัวที่โผล่ขึ้นพ้นน้ำแล้ว พร้อมที่จะบานในเมื่อได้รับแสงพระอาทิตย์ในวันนั้น
๒. วิปจิตัญญู ได้แก่ ผู้ที่สามารถจะรู้ธรรมวิเศษได้ ต่อเมื่อท่านขยายความย่อให้พิสดารออกไปเปรียบเหมือนดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอระดับน้ำ จักบานในวันรุ่งขี้น
๓. เนยยะ ได้แก่ ผู้ที่พากเพียรพยายาม ฟัง คิด ถาม ท่องอยู่เสมอไม่ทอดทิ้ง จึงได้รู้ธรรม วิเศษ เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังไม่โผล่ขึ้นจากน้ำ ได้รับการหล่อเลี้ยงจากน้ำ แต่จะโผล่แล้วบานขี้นในวันต่อๆ ไป
๔. ปทปรมะ ได้แก่ ผู้ที่แม้ฟัง คิด ถาม ท่อง แล้วก็ไม่สามารถรู้ธรรมวิเศษได้ เปรียบเหมือน ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำติดกับเปือกตม รังแต่จะเป็นภักษาหารแห่งปลาและเต่า เมื่อเล็งเห็นเหตุนี้ จึงตกลงพระทัยจะสอน ทรงนึกถึงผู้ที่ควรโปรดก่อนคือ อาฬารดาบส กับ อุทกดาบส ท่านเหล่านี้ก็หาบุญไม่เสียแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ปัญจวัคคีย์ จีงทรงตัดสินพระทัยว่า ควรโปรดปัญจวัคคีย์ก่อน แล้วก็เสด็จออกเดินไปจากควงไม้ไทรนั้น มุ่งพระพักตร์เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี การที่เสด็จเดินทางจากตำบลพระศรีมหาโพธิ์ จนกระทั่งถึงกรุงพาราณสีเช่นนี้ แสดงให้เห็น เพระวิริยอุตสาหะอันแรงกล้าเป็นการตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะประทานปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์เป็นพวกแรกอย่างแทัจริง หนทางระหว่างตำบลพระศรีมหาโพธิ์ถึงพาราณสีนั้น ในปัจจุบัน ถ้าไปทางรถไฟก็เป็นเวลา ๗-๘ชั่วโมง การเสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่า อาจใช้เวลาตั้งหลายวัน แต่ปรากฏว่าพอตอนเย็นขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอาสาฬหะนั้นเอง
พระพุทธองค์ก็เสด็จถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวันแขวงเมืองพาราณสีอันเป็นที่อยู่แห่งปัจจวัคคีย์พอเสด็จ เข้าราวป่าพวกปัญจจวัคคีย์นั้นได้เห็นจึงนัดหมายกันว่า จะไม่ไหว้ ไม่ลุกรับ และไม่รับบาตรจีวรจะตั้งไว้ให้เพียงอาสนะเท่านั้น เพราะเข้าใจว่าพระองค์ กลายเป็นคนมีความมักมากหมดความเพียรเสียแล้ว พอพระองค์เสด็จถึง ต่างก็พูดกับพระองค์โดยไม่เคารพพระองค์ตรัสห้ามและทรงบอกว่าพระองค์ตรัสรู้แล้วจะแสดงธรรมสั่งสอนให้ฟังพราหมณ์ทั้ง ๕ ก็พากันคัดค้านลำเลิกด้วยถ้อยคำต่างๆ ที่สุดพระองค์จึงทรงแจงเตือนให้รำลึกว่า พระองค์เคยกล่าวเช่นนี้มาในหนหลังบ้างหรือ พราหมณ์ทั้ง๕ ระลึกได้ ต่างก็สงบตั้งใจฟังธรรมทันที
ค่ำวันนั้น พระองค์ประทับแรมอยู่กับพราหมณ์ทั้ง ๕ รุ่งขี้นวันเพ็ญแห่งเดือนอาสาฬหะ พระองค์ทรงเริ่มแสดงธัมมะ-จักกัปปวัตตนสูตร นับเป็นเทศนากัณฑ์แรกโปรดปัญจวัคคีย์นั้น โดยใจความคือทรงยกที่สุด ๒ ฝ่าย ได้แก่ การประกอบตนให้ลำบากด้วยการทรมานกาย และการไม่ประกอบตนให้เพลิดเพลินในกามสุข ทั้ง ๒ นี้นับว่า เป็นของเลวทราม ไม่ควรเสพเฉพาะทางสายกลางเท่านั้น เป็นข้อปฏิบัติที่สมควร แล้วทรงแสดงทางสายกลางคือ อริยมรรค ๘ ประการ ได้แก่
๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ
๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ
๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ
๔. สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ
๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ
๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ
๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ
๘. สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ
เครดิตจากเพจ https://www.onab.go.th/th/content/category/detail/id/73/iid/3397
ความสำคัญวันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือวันอาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นกาสี อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาคือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแก่ปัญจวัคคีย์
การแสดงธรรมครั้งนั้นทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ 1 ในปัญจวัคคีย์ ประกอบด้วย โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรมหรือบรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน ท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะจึงกลายเป็นพระสาวกและภิกษุองค์แรกในโลก และทำให้ในวันนั้นมีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วันนี้ถูกเรียกว่า “วันพระธรรม” หรือ วันพระธรรมจักร อันได้แก่วันที่ล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก และ “วันพระสงฆ์” คือวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และจัดว่าเป็น”วันพระรัตนตรัย” อีกด้วย
เครดิตเพจ https://th.wikipedia.org/wiki/
วันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันแรกที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาแก่ชาวโลก เป็นวันที่พระสงฆ์เกิดขึ้นครั้งแรกในโลก และเป็นวันที่พระรัตนตรัยครบองค์ 3 ทำให้ชาวพุทธทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับวันอาสาฬหบูชา และถือปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาต่าง ๆ ในวันอาสาฬหบูชา
เครดิตเพจ
โดย admin | มิ.ย. 18, 2024 | บทความน่าสนใจ, วันสำคัญทางศาสนา
วันเข้าพรรษา 2567 ตรงกับวันที่เท่าไหร
วันเข้าพรรษา พ.ศ. 2567 ตรงกับ วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2567 แรม 1 ค่ำ เดือนแปด
วันเข้าพรรษา มีความสำคัญอย่างไร
โดยวันเข้าพรรษาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ต่อเนื่องมาจาก วันอาสาฬหบูชา (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8) ซึ่งพุทธศาสนิกชนชาวไทยทั้งพระมหากษัตริย์และคนทั่วไปได้สืบทอดประเพณีปฏิบัติการทำบุญในวันเข้าพรรษามาช้านานแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย
ประวัติวันเข้าพรรษา
วันเข้าพรรษา เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ พอถึงฤดูฝนพระภิกษุส่วนใหญ่ก็อยู่ประจำที่เช่นเดียวกับนักบวชนอกพุทธศาสนาที่มักถือเป็นประเพณีปฏิบัติอยู่จำพรรษามาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ปรากฏว่ามีพระภิกษุกลุ่มฉัพพัคคีย์พาบริวารจำนวน 1,500 รูปเที่ยวจาริกไปตามที่ต่างๆ เนื่องจากตอนต้นพุทธกาลยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุอยู่จำพรรษา ทำให้ชาวบ้านพากันติเตียนถึงการจาริกของท่านเพราะไปเหยียบข้าวกล้าในนาเสียหาย เมื่อรู้ไปถึงพระพุทธเจ้า จึงทรงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ ตรัสถามจนได้ความจริง แล้วทรงบัญญัติให้พระภิกษุอยู่จำพรรษา เป็นเวลา 3 เดือนในฤดูฝน
ประเพณีสำคัญขึ้นในวันเข้าพรรษามี 2 ประเพณีคือ
-
ประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝน
เกิดขึ้นโดยมีเรื่องเล่าว่า ในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งนางวิสาขา มหาอุบาสิกาต้องการจะนิมนต์พระภิกษุไปฉันภัตตาหารที่บ้าน
จึงให้หญิงรับใช้ไปพระวิหารเชตวันเพื่อนิมนต์พระ ปรากฏว่านางไปเห็นพระภิกษุเปลือยกายอาบน้ำฝนอยู่ ก็กลับมารายงานด้วยความเข้าใจผิดว่าไม่พบพระ เห็นแต่พวกชีเปลือย นางวิสาขาก็รู้ด้วยปัญญาว่าคงเป็นพระอาบน้ำฝนอยู่ ดังนั้น นางจึงได้ทูลขอพรจากพระพุทธเจ้า ขอถวายผ้าอาบน้ำฝนแด่พระภิกษุและภิกษุณีเป็นประจำแต่นั้นมา จึงเกิดเป็นประเพณีที่ชาวพุทธปฏิบัติสืบต่อมาจนทุกวันนี้ และกล่าวกันว่า ผู้ที่ถวายผ้าอาบน้ำฝนจะได้รับอานิสงส์เหมือนการถวายผ้าอื่นๆตามนัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คือ ทำให้เป็นผู้มีผิวพรรณผ่องใส สวยงาม ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีความสะอาดผ่องใสทั้งกายและใจ
-
ส่วนประเพณีแห่เทียนพรรษา
เกิดจากความจำเป็นที่ว่าสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้เช่นปัจจุบัน ดังนั้น เมื่อพระภิกษุอยู่รวมกันมากๆเพื่อปฏิบัติกิจวัตร เช่น การสวดมนต์ตอนเช้ามืดและพลบค่ำ การศึกษาพระปริยัติธรรม การบูชาพระรัตนตรัย ฯลฯ จำเป็นต้องใช้แสงสว่างจากเทียน
เครดิตเพจ
โดย admin | มี.ค. 9, 2024 | บทความน่าสนใจ
ผ้าไตร 7 ชิ้น สำหรับผู้ที่กำลังจะบวชหรือหาเลือกซื้อให้กับผู้ที่กำลังจะบวช การทำความเข้าใจในเรื่องผ้าไตรจีวรหรือ ชุดเครื่องบวชสำคัญเพราะต้องทราบว่า วัดที่สังกัดนั้นเป็น ธรรมยุตหรือ มหานิกาย(แต่การปฏิบัติตามหลักพระวินัย เหมือนกันในศีล 227ข้อ) ทำให้ในการเลือกซื้อผ้าไตรนั้น อาจจะเกิดความสับสน จึงนำบทความดีมาฝากกัน
ผ้าไตร 7 ชิ้น มีอะไรบ้าง
ไตรครองผ้าไตรครบชุด (7 ชิ้น) ประกอบด้วย
- ผ้าสบงขัณฑ์,
- ผ้าจีวร,
- ผ้าพาดบ่าหรือสังฆาฏิ (2 ชั้น),
- อังสะ,
- รัดประคด,
- ผ้ารัดอก
- ผ้ารับประเคนหรือผ้ากราบ
ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก https://dharayath.com/ผ้าไตร/

สิ่งที่ต้องพิจารณา ผ้าไตรแบบไหน ดังนี้
สี ในประเทศไทยมีพระสงฆ์อยู่สองฝ่าย นุ่งห่มจีวรสีต่างกัน มีหลักๆ คือ
- พระสงฆ์ธรรมยุต นุ่งห่มจีวรด้วยสีกรักแก่นขนุน สีพระราชทาน
- พระสงฆ์มหานิกาย นุ่งห่มจีวรด้วยสีเหลืองส้ม สีพระราชทาน
ชุดผ้าไตรจีวร
วัตถุประสงฆ์ในการถวายผ้าไตร ผ้าไตรแบ่งได้ 2 แบบหลักตามความต้องการใช้งาน
แบบที่ 1ผ้าไตรชุดใหญ่ ใช้สำหรับการบวชพระ ตัดเย็บถูกต้องตามพระวินัย ใช้ในการบวชพระ
แบบที่ 2 ไตรอาศัย ใช้สำหรับการเพื่อผลัดเปลี่ยนในชีวิตประจำวัน ประกอยด้วย ผ้า 3 ชนิดหลัก คือ จีวร สบง อังสะ และเช่นเดิมต้องพิจารณาว่าเป็นนิกายหรือฝ่ายไหน ธรรมยุต ต้องเป็น 9 ขันธ์ สีกรักแก่นขนุน ส่วนมหานิกาย 5 ขันธ์ สีเหลืองส้ม เป็นต้น
ชนิดผ้า
โทเร ราคาถูกที่สุด เนื้อผ้าเหมือนเสื้อนักเรียนค่ะ ผ้านุ่มปานกลาง ระบายอากาศได้พอสมควร เหมาะกับพระที่ต้องการบวชระยะสั้น และผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย
มิสลิน หรือมัสลิน เนื้อผ้านุ่ม ระบายอากาศดี ใส่สบาย เป็นที่นิยมเนื่องจากเหมาะสมกับสภาพอากาศ ราคาปานกลาง
ซันฟอไรซ์ เนื้อผ้านุ่ม ระบายอากาศดี เนื้อผ้าหนากว่ามิสลิน มีความคงทน ราคาปานกลาง
ฝ้าย เนื้อผ้าหนานุ่ม เหมาะกับอากาศเย็น เช่นทางภาคเหนือ ราคาค่อนข้างสูง
ไหม เนื้อผ้านุ่มลื่นเป็นเงา ใช้ถวายพระภิกษุผู้ใหญ่ที่มีสมณศักดิ์ ราคาสูง
ขนาด
จีวรนั้นก็เหมือนกับเสื้อผ้าทั่วไป หากเราจะซื้อไปถวายควรจะเลือกซื้อขนาดที่เหมาะสมแก่ผู้สวมใส่ เราควรคำนึงถึงพระภิกษุสงฆ์ที่เราจะเลือกซื้อผ้าไตรจีวรไปถวาย โดยคำนึงถึงความสูง ท้วมหรือสมส่วน ในการเลือกซื้อ
- พระภิกษุที่สูงไม่เกิน 160 ซม. ควรใช้ขนาด ความสูง 190 ซม. กว้าง 315 ซม.
- พระภิกษุที่สูง 160 – 170 ซม. ควรใช้ขนาด ความสูง 200 ซม. กว้าง 315 ซม.
- พระภิกษุที่สูง 170 – 180 ซม. ควรใช้ขนาด ความสูง 210 ซม. กว้าง 315 ซม.
- พระภิกษุที่สูง 180 ซม.ขึ้นไปหรือมีรูปร่างสูงใหญ่ ควรใช้ขนาด ความสูง 220 ซม. กว้าง 315 ซม.
ถ้าต้องการเลือกซื้อมาถวายโดยไม่เจาะจง แนะนำให้ซื้อ ขนาดผ้า 210 x 315 ซม. เป็นมาตรฐานทั่วไปแก่พระภิกษุสงฆ์
การตัดเย็บ
การตัดเย็บผ้าไตรจีวรนอกจากจะต้อถูกต้องตามพระธรรมวินัยแล้ว คุณภาพการเย็บก็เป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งที่ต้องกล่าวถึง ผ้าไตรชั้นดี จะเย็บตะเข็บคู่แท้ คือเย็บ 2 รอบด้วยระยะห่างเพียง 2 มิลลิเมตร เพื่อให้ผ้าที่ออกมามีความประณีต ความแข็งแรงคงทน ใช้งานได้นานสมประโยชน์อย่างแ
โดย admin | ก.พ. 6, 2024 | ข่าวสาร, ธรรมะน่าสนใจ, บทความธรรมมะ, บทความน่าสนใจ
ผ้าไตรจีวร / ผ้าไตร สำหรับเตรียมตัวจัดงานบวชน้ัน หลายท่านจะมีความสับสนการเลือกและไม่เข้าใจว่า ทำไมบางครั้งที่ร้านขายผ้าไตรจะถามเราว่า เอาแบบ 5 ขันธ์หรือ 9 ขันธ์ บทความนี้จะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกผ้าไตรสำหรับผู้ที่กำลังหาซื้อผ้าไตรสำหรับเตรียมในงานบวชให้กับลูกหลาน หรือ จัดหาเพื่อถวายผ้าไตรแด่พระภิกษุ
ผ้าไตรจีวร คืออะไร
ผ้าไตร คือ ผ้าที่พระสงฆ์ใช้นุ่งครอง หรือผ้าเหลืองที่เราเห็นพระสงฆ์นุ่งห่มนั่นเอง บางครั้งชาวบ้านก็จะเรียกผ้าที่พระครองว่า ผ้าไตรจีวรหรือผ้าจีวร แต่ทำไมถึงเรียกว่าผ้าไตร
คำว่า ไตร หมายถึง ไตรที่แปลว่า สาม ดังนั้นในความหมายของผ้าไตรในการแปลแบบตรงไปตรงมา ก็จะหมายถึง ผ้าสามผืนนั่นเอง ดังนั้น เมื่อเรากล่าวถึงผ้าไตร ก็จะเข้าใจตรงกันในความหมายเดียวกันคือ ผ้าสามผืนที่พระสงฆ์ใช้สำหรับนุ่งครอง
ซึ่งในผ้าไตร 3 ผืน ก็จะประกอบไปด้วย
- ผ้าจีวร หรือ ผ้าห่ม ซึ่งพระสงฆ์จะเรียกว่า อุตราสงค์
- ผ้าสบง หรือ ผ้านุ่ง ซึ่งพระสงฆ์เรียกว่า อันตรวาสก
- สังฆาฏิ หรือ ผ้าซ้อน/ผ้าพาดบ่า
ผ้าไตร ส่วนใหญ่มักนิยมเรียกย่อๆ ว่า ไตร ไตรเต็ม หรือ ไตรแบ่ง
ไตรเต็ม คือ ผ้าไตรที่จัดรวมกันไว้เป็นชุดครบทั้ง 3 ผืน เหมือนผ้าไตรที่นิยมวายกันโดยทั่วไป บางโอกาสอาจจะเพิ่ม กายพันธน์ ผ้าอังสะ ผ้ารัดอก และผ้ากราบ
- กายพันธน์ คือ ผ้าประคดรัดเอว (รัดประคด)
- ผ้าอังสะ คือ ผ้าที่มีลักษณะคล้ายเสื้อใช้คล้องไหล่เฉียงบ่าปิดไหล่ซ้าย พระจะใช้เมื่อเวลาอยู่ที่วัดตามลำพัง (ไม่ต้องห่มจีวรคลุมร่างทั้งผืน)
- ผ้ารัดอก ใช้สำหรับรัดจีวรเมื่อเวลาห่มดอง
- ผ้ากราบ ใช้สำหรับรองเมื่อเวลากราบและใช้ปูรับของเมื่อเวลาผู้หญิงประเคนของถวาย
ผ้าไตรจีวร 5 ขันธ์ และ ผ้าไตรจีวร 9 ขันธ์
ขัณฑ์ คือ ลักษณะของการเย็บผ้า จำนวนชิ้นผ้าที่ตัดขาดจากกัน นำมาเย็บต่อเข้าเป็นผืนเดียวกันเช่น ผ้าไตร 9 ขัณฑ์ คือ ผ้า 9 ชิ้น ที่นำมาเย็บต่อเป็นผืนเดียวกันใช้เป็นสบงหรือจีวร (จำนวนขัณฑ์มาก จำนวนชิ้นผ้าก็เยอะตาม)
- สำหรับพระวัดทั่วไป (มหานิกาย) นิยมถวาย ผ้าไตร 5 ขัณฑ์
- สำหรับพระวัดป่ากรรมฐาน (ธรรมยุติ) นิยมถวาย ผ้าไตร 9 ขัณฑ์
ชุดเครื่องบวชพระภิกษุสงฆ์ ประกอบไปด้วย
- ไตรครอง ประกอบด้วยอัฐบขาล 7 อย่าง
- ไตรอาศัย (สบง, จีวร, อังสะ)
- ไตรคู่สวด – อุปัชฌาย์
- ชุดนาค (เสื้อครุยนาค, สบงขาว, ผ้าสไบ)
- บาตรครบชุด
- ตาลปัตร
- ย่าม
- อาสนะ
- ต้นเทียนถวายพระอุปัชฌาย์ – พระคู่สวด 3 ใบ
- กรวยขมา ถวายพระอุปัชฌาย์ – พระคู่สวด 3 ใบ
- ธูป เทียน แพ พาน
- เสื่อ
- ที่นอนพระ
- หมอน
- มุ้ง
- ผ้าเช็ดตัว – ผ้าเช็ดหน้า
- ผ้าห่ม
- ปิ่นโต
- กระโถน
- จาน ช้อน ส้อม แก้วน้ำ
- รองเท้าแตะ
พิธีการบวช
1. ตอนเย็นก่อนบวชจะมีพิธีโกนหัวนาค ณ โรงพิธีประชุมวงฆ์ นาคทั้งหลายจะรับศีล อาราธนาพระปริตรพระสงฆ์พรมน้ำมนต์และสระผมนาค ผู้ที่โกนหัวอาจเป็นพระสงฆ์หรือพ่อแม่ จากนั้นญาติผู้ใหญ่จะโกนด้วยเล็กน้อย
2. หลังจากนั้นอาบน้ำ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวนุ่งขาว ห่มขาว เรียกว่า “เจ้านาค”
3. กลางคืนจัดให้มีพิธีสงฆ์เรียกว่า “การสวดผ้า” เจ้านาคต้องมีไตรจีวร และจะมีการทำขวัญนาคด้วยในคืนนี้
4. จะมีการแห่นาคในวันบวชวันรุ่งขึ้น แห่รอบโบสถ์ 3 รอบ เป็นการบูชาพระพุทธศาสนา ขณะที่แห่จะมีการว่าเพลง “คำตัก”
5. เมื่อครบ 3 รอบ นาคจะจุดธูปเทียน บูชาพัทธสีมา มีการกรวดน้ำ
6. หลังจากนั้นญาติจะช่วยกันอุ้มนาคเข้าอุโบสถ ห้ามเหยียบธรณีประตู พ่อแม่นาคส่งไตรครองให้นาค เพื่อถวายพระอุปัชฌาย์ ถวายพระกรรมวาจาจารย์ (พระคู่สวด) และพระอนุสาวนาจารย์ ท่านละ 3 กรวย จากนั้นกล่าวคำขอบรรพชา รับศีล 10 พระอุปัชฌาย์คล้องบาตรสะพาย พระคู่สวดจะประกาศว่าผู้ชื่อนั้นๆ ได้มาขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ แล้วตั้งคำถามเป็นข้อๆ เรียกว่า “ขานนาค”
7. เมื่อขานนาคเสร็จ นาคขออุปสมบทต่อคณะสงฆ์ คณะสงฆ์กล่าว อนุศาสน์ (ข้อควรปฏิบัติ และไม่ควรปฏิบัติขณะที่บวช)
8. เมื่อจบอนุศาสน์ พระบวชใหม่ถวายของบูชาพระคุณแก่คณะสงฆ์ จากนั้นรับของถวายเครืองไทยธรรมจากญาติ ขณะเดียวกันจะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่บิดา มารดา ญาติเป็นอันเสร็จพิธี
โดย admin | ม.ค. 31, 2024 | บทความน่าสนใจ
การแก้กรรมหลายคนพยายามที่จะแก้ไขในสิ่งที่ทำให้รู้สึกผิดหายไปหรือสิ่งที่ทำให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นหายไป แก้กรรม ทำอย่างไรหลายท่านยังค้นหาวิธีแก้กรรมเพื่อให้เกิดการพ้นทุกข์ ถ้าตามความหมายในคำสอนแล้ว กรรม คือ การกระทำ เกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถมีใครไปลบล้างได้ ต้องดำเนินไปเหตุตามผล
ได้เจอหลายบทความที่น่าสนใจนำมาฝากกัน เกี่ยกกับการแก้กรรม
แก้กรรม คืออะไร
กรรม คือ การกระทำด้วยเจตนา ทั้งในอดีตชาติ หรือในปัจจุบันก็ล้วนเป็นกรรมทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมีผลกระทบต่อปัจจุบันและอนาคต
การแก้กรรม คือ แก้ตรงที่ ให้เราสำนึกว่าตรงนั้นเราทำผิด แล้วต่อไปเราจะไม่ทำอกุศลกรรมเช่นนั้นอีกต่อไป มาทำสัญญากันใหม่ ตั้งปณิธานใหม่ เราก็ต้องมาทำสัญญากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สัญญากับเจ้ากรรมนายเวรว่าเราจะไม่ทำอกุศลกรรมเช่นนั้นอีกต่อไป
ตัดกรรม คืออะไร
ตัดกรรม คือ การหยุดทำความชั่วหยุดทำบาป การตัดเวร คือ การหยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน คือไม่แก้แค้นซึ่งกัน และกันรู้จักคำว่าให้อภัยซึ่งกันและกัน และผู้ที่ทำผิดก็ให้รู้จักคำว่าขอโทษ ผู้ที่ถูกขอโทษก็รู้จักคำว่าให้อภัย อันนี้เป็นอุบายตัดกรรมตัดเวร
การแก้กรรม และ การตัดกรรม สิ่งที่ดำเนินเหมือนกัน คือ การขออภัย หยุดทำชั่ว และ นำไปสู่การอภัยทาน ซึ่งหัวใจก็คือ การละการทำชั่วบาป ทั้งปวงเพื่อไม่นำไปสู่ผลกรรมไม่ดีต่อกัน
แก้กรรม ขออโหสิกรรม เจ้ากรรมนายเวร คืออะไร
กรรมที่เลิกแล้วต่อกัน ไม่ส่งผลแก่ผู้กระทำกรรมในภพชาติต่อๆ ไปการขออโหสิกรรม คือ การขอโทษในสิ่งที่ตนทำผิดต่อผู้อื่นด้วยใจจริง การให้อโหสิกรรม คือ การให้อภัยต่อความผิดพลาดพลั้งที่ผู้อื่นกระทำต่อตน
คำว่า อโหสิกรรม มาจากคำ 2 คำ คือ
อโหสิ เป็นคำภาษาบาลีแปลว่า “ได้มีแล้ว” หมายความว่า ได้ให้ผลเสร็จสิ้นแล้ว
กรฺม ซึ่งเป็นคำภาษาสันสกฤต แปลว่า การกระทำ หมายถึง การกระทำที่มีเจตนา
แปลรวมกันว่า กรรมที่ไม่ส่งผลแก่ผู้กระทำกรรมอีกต่อไป
อ่านบทความเกี่ยวกับ การขออโหสิกรรม การขออโหสิกรรมคืออะไร และมีขั้นตอนอย่างไร ?
ขออโหสิกรรม ตามหลักพระพุทธศาสนา เชื่อว่า
1) กรรมเบาบาง อยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น สำเร็จในชีวิตนี้ และส่งผลชีวิตหน้า
บุคคลที่ทำกรรมดีหรือกรรมชั่วโดยมีเจตนาในการทำกรรมนั้น จะต้องได้รับผลกรรมตามสมควรแก่การกระทำของตน คนที่ทำร้ายผู้อื่นคนที่คดโกงหรือฉ้อราษฎร์บังหลวงก็จะได้รับผลกรรมนั้น หรือแม้ไม่ได้รับกรรมในชาตินี้ กรรมก็จะติดตามไปส่งผลในชาติหน้า
แต่กรรมที่ทำไว้นั้นถ้าเป็นกรรมเบาอาจจะไม่ส่งผลก็ได้ หากทำให้กรรมนั้นเป็นอโหสิกรรม
นั่นคือ ในฐานะที่ชาวพุทธ เมื่อได้ประพฤติล่วงเกินผู้อื่น ก็ควรขอให้ผู้นั้นยกโทษให้ และในทำนองเดียวกันหากมีผู้มาขออโหสิกรรมจากเรา ก็ควรยกโทษให้ ไม่อาฆาต พยาบาท จองเวรกัน เมื่อปฏิบัติได้เช่นนี้ก็จะก่อให้เกิดความรักใคร่กัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
2) อานิสงส์สูง เพราะละการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ยกระดับก้าวสู่มรรคผลนิพพาน
อโหสิกรรมหรืออภัยทาน-สามารถทำได้จากความเมตตาที่มีอยู่เพียงพอในจิตใจ จึงมีอานิสงส์ใกล้เคียงกับธรรมทาน ที่ถือว่ามีอานิสงส์สูง เพราะเป็นการให้ปัญญา-แสงสว่างเพื่อพัฒนาจิตใจของผู้อื่นให้ก้าวหน้าไปสู่มรรค-ผล-นิพพานในที่สุดต่อไปตามวาสนาบารมีแห่งตน
ขอบคุณเครดิตจากเพจ
แนะนำอ่านเพิ่มเติม
ตัดกรรม คืออะไร ตัดได้จริงหรือไม่ คำสอนของพระพุทธเจ้าตัดกรรมได้หรือไม่
โดย admin | ม.ค. 11, 2024 | บทความน่าสนใจ
ปีใหม่ที่ผ่านมาหลายท่ายไปทำบุญพร้อมครอบครัว ซึ่งนับได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีในการเสริมสร้างครอบครัวให้มีความอบอุ่นและมีพลังแห่งความดีคุ้มครองให้ปลอดภัย การจัดสังฆทาน หรือ ชุดสังฆทาน เพื่ออนำไปวัดทำบุญเองนั้นเร่ิมนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อการจัดสิ่งของเพื่อนำไปถวายนั้นได้คำนึงถึงการใช้สิ่งของที่นำไปถวายแล้วได้นำไปใช้จริง ๆ บทความนี้มี ไอเดียจัดชุดสังฆทาน ว่าจัดแบบใดบ้าง
ไอเดียจัดชุดสังฆทาน ตามหลักปัจจัยสี่
ปัจจัยสี่ ซึ่งได้แก่
- อาหาร
- เครื่องนุ่งห่ม
- ยารักษาโรค
- ที่อยู่อาศัย
ถ้าใช้ไอเดียนี้จะมีแนะนำดังนี้
1. อาหาร และ เครื่องดื่ม
สังฆทานอาหารและสังฆทานเครื่องดื่ม หลายคนอาจไม่รู้ว่าเราสามารถนำมาถวายเป็นสังฆทานได้ จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นข้าว ผลไม้อบแห้งต่าง ๆ แยมทาขนมปัง รวมถึงอาหารกระป๋อง อาหารแห้ง ก็สามารถนำมาใส่ชุดสังฆทานถวายได้ เพราะพระสงฆ์สามารถฉันเพื่อบำรุงร่างกายเป็นกำลังในการทำงานเพื่อศาสนาต่อไป อีกทั้งเรายังสามารถถวายเครื่องดื่มต่าง ๆ ในชุดสังฆทานได้อีกด้วย
2. ยารักษาโรค
ยารักษาโรค เป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรถวายในชุดสังฆทาน โดยเฉพาะยาสามัญประจำบ้านต่างๆ เช่น ยาแก้ปวดหัว ยาแก้ไอ ยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อเป็นต้น
3. เครื่องนุ่งห่ม จีวร
ในชุดสังฆทานนั้นสามารถถวายเครื่องนุ่งห่ม จีวร หรือ ผ้าอาบน้ำฝนได้ เพราะเป็นของใช้ที่จำเป็นสำหรับพระสงฆ์
4. เครื่องอุปโภค
เครื่องอุปโภค ควรเป็นสิ่งของที่จำเป็นเพื่อการดำรงชีวิตในปัจจุบัน
– ไฟฉาย ถ่านไฟฉาย เทียนเล่มเล็ก ธูป เพื่อให้พระสงฆ์ใช้เป็นแสงสว่างยามค่ำคืนและจุดเพื่อบูชา ถวายสักการะแด่พระพุทธเจ้า ซึ่งมีความหมายว่า แสงสว่างอันรุ่งโรจน์ในชีวิตที่โชติช่วงชัชวาล
– อุปกรณ์เครื่องเขียน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระสงฆ์ หรือสามเณรในการศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือไว้ใช้จดนัดหมายกิจนิมนต์ต่าง ๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก https://dharayath.com/
ไอเดียจัดชุดสังฆทานอื่น ๆ ที่แนะนำตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จัดชุดสังฆทานด้วยน้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำ
วัดมีทั้งกุฏิ ห้องน้ำ ลานวัด สถานที่เหล่านี้มีความจำเป็นต้องทำความสะอาดบ่อยๆ เพื่อสุขลักษณะที่ดีของพระสงฆ์และญาติโยมที่เข้ามาทำบุญ ดังนั้นน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ เช่น น้ำยาทำความสะอาดพื้น น้ำยาขัดห้องน้ำ จึงเป็นของใช้จำเป็นอย่างหนึ่งที่จำเป็น เพราะจะช่วยให้การทำความสะอาดสถานที่เหล่านี้ง่ายขึ้น
ถวายสังฆทานด้วยหลอดไฟ
อุปกรณ์ให้แสงสว่างเป็นอีกหนึ่งสิ่งจำเป็น แต่อาจจะไม่ค่อยมีในชุดสังฆทานสำเร็จรูป เช่น ไฟฉาย เทียน ถ่านไฟฉาย ไม้ขีดไฟ หรือไฟแช็ค การถวายสังฆทานด้วยอุปกรณ์ให้แสงสว่าง ยังมีความเชื่อว่าจะช่วยให้ชีวิตสว่างไสวอีกด้วย
จัดชุดสังฆทานด้วยชุดป้องกันโควิด-19
ในยุคนี้มีโรคระบาดที่ต้องระแวดระวัง ยิ่งกับพระสงฆ์ที่ต้องออกไปบิณฑบาตร หรือมีญาติโยมมาทำบุญที่วัดมากหน้าหลายตายิ่งต้องระวังมากเป็นพิเศษ จึงแนะนำให้จัดชุดสังฆทานด้วยอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 เช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ สเปรย์แอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์ชนิดน้ำแบบเติม หรือจะเป็นชุดตรวจ ATK
ขอบคุณเครดิตข้อมูลจากเพจ https://www.ofm.co.th/blog/offering-ideas/
ไอเดียจัดชุดสังฆทาน ให้กับผู้ล่วงลับเพื่อขออโหสิกรรม
1. อาหารสด เช่น ข้าวต้ม กระเพาะปลา ก๋วยจั๊บ ผัดผักรวมมังสะวิรัติ ควรมีอาหารประมาณ 3 ประเภท ควรมีอาหารแห้งด้วยประกอบไปด้วย ข้าวสาร ปลากระป๋อง หรืออาหารแห้งสำเร็จรูปอื่นๆ หรือสิ่งที่จะให้โรงครัวประกอบอาหารได้ เช่น น้ำปลา ซอส ซีอิ๊ว เพราะบางวัด ท่านมีโรงครัว หากทำสังฆทานอุทิศให้ทำอาหารที่คนตายชอบก็ได้ หากทำเพื่อตนเองสร้างบุญก็เอาสิ่งที่เราทานเราชอบ (อานิสงส์ที่จะได้รับ คือมีร่างกายบริบูรณ์ไปไหนมาไหน ไม่อดไม่อยาก)
2. ข้าวสวย (อานิสงส์ที่ได้รับเหมือนข้อหนึ่ง)
3. น้ำ สะอาด (อานิสงส์ที่ได้รับคือ มีน้ำดื่ม ไม่ขาดแคลนน้ำใช้ หากเรายังไม่ตาย)
4. รองเท้า 1 คู่ (อานิสงส์ที่จะได้รับคือ จะมีสัมผัสที่ดีขึ้น เท้าเดินเหินสะดวก ตายไปมียานพาหนะทิพย์สะดวกสบาย การให้ยานพาหนะถือว่าให้ความสุข แค่รองเท้า 1 คู่ ญาติเราที่ตายโมทนาเขาจะมีความสุขขึ้นมากๆ)
5. จีวร อังสะ สบง รัดประคต หากเราทรัพย์น้อย ให้ทำบุญผ้าเช้ดหน้า 1 ผืนก็ได้ (อานิสงส์ที่เราจะได้รับคือไม่ขาดแคลน เครื่องนุ่งห่ม แล้วก็ใส่อะไรก็สบายดูดี ผิวพรรณงดงาม ผู้ได้รับคือมีเสื้อผ้าเครื่องทรงทิพย์)
6. ยารักษาโรค (อานิสงส์ที่จะได้รับคือ โรคที่เราเป็นจะบรรเทาลง)
7. เสื่อ สาด เครื่องปูลาด อาสนะสงฆ์ (อานิสงส์ที่จะได้รับคือ ฐานะจะไม่ตกต่ำ อย่างน้อยเท่าเดิม ฐานะทรงตัว เกิดชาติหน้าสูงศักดิ์ และหนุนเรื่องการทำภาวนาจะได้ผลไว เข้าสมาธิได้ไว)
8. หนังสือ มนต์พิธีแปล (อานิสงส์ได้รับคือสติปัญญา ที่เพิ่มขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม ช่วยสืบต่อพระศาสนาด้วย)
9. พระ พุทธรูปปางวันเกิดเรา หรือคนที่เราจะอุทิศให้ ขนาดตั้งแต่ 7 นิ้วขึ้นไป (อานิสงส์ที่จะได้รับคือสุขภาพกายเราจะดีขึ้นทรงตัว รูปงามขึ้น มีความเด่นท่ามกลางฝูงชน มีเสน่ห์ขึ้น)
10. ร่ม (อานิสงส์ที่จะได้รับคืออยู่ไหนก็ไม่เดือดร้อน สุขสบาย มีที่พึ่งร่มเย็น ผีโมทนาแล้วได้ ร่มหรือที่พักพิง)
11.อื่น ๆ เช่น สบู่ ผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ ไม้ถูพื้น แปรงล้างห้องน้ำ ไม้กวาด (อานิสงส์ที่ได้รับ ผิวพรรณผู้ที่ไม่สวยจะดีขึ้นนวลเนียนสวยขึ้นโรคที่เป็นจะทุเลาลง ไม้กวาดจะทำให้เราผิวงาม)
12. เงินประมาณ 100 บาท ใส่ซองเขียนด้วยว่า ใช้ในกิจสงฆ์ส่วนรวมได้หมดทุกอย่าง (หากท่านนำไปใช้ ซื้อข้าวของมาทำภัตตาหารให้พระเณรเราก็ได้บุญสังฆทาน หากท่านนำไปสร้างโบสถ์
เราได้บุญวิหารทาน เงินส่วนนี้จึงสำคัญมาก จะหนุนให้เราได้ลาภลอย)
ขอบคุณข้อมูลจากเพจ https://dharayath.com/