ทำบุญ 100 วัน หรือ ครบ 1 ปี เตรียมอะไรบ้าง มีขั้นตอนและความสำคัญอย่างไร

ทำบุญ 100 วัน หรือ ครบ 1 ปี เตรียมอะไรบ้าง มีขั้นตอนและความสำคัญอย่างไร

ทำบุญ 100 วัน สำหรับผู้ล่วงลับ ต้องเตรียมตัวอย่างไร สำหรับจัดหาสิ่งของ เช่น ผ้าไตรจีวร ชุดสังฆทาน ผู้ที่กำลังเตรียมตัวนั้นอาจจะลืมขั้นตอนหรือกังวล บทความนี้จะรวบรวมสำหรับเบื้องต้นในการจัดเตรียมและขั้นตอน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับ

ทําบุญ 100 วัน เตรียมสิ่งของเบื้องต้นอะไรบ้าง

โดยเบื้องต้นมีดังนี้

  • เตรียมจตุปัจจัยไทยธรรม (ชุดสังฆทาน) ดอกไม้ อาหาร จัดตามจำนวนของพระสงฆ์ที่ได้นิมนต์  รวมถึงจัดเตรียมข้าวไหว้พระพุทธ และสำหรับผู้ล่วงลับด้วยที่ขาดไม่ได้คือรูปภาพของผู้วล่วงลับ หรือ จะเขียนชื่อนามสกุลใส่กระดาษ แล้วเอยนามก็ได้
  • นำภาพของผู้วายชนม์โยงสายสิญจน์

เครดิตจากเพจ https://funeral.in.th/

ทําบุญ 100 วัน มีขั้นตอนอย่างไร

เมื่อถึงวันครบรอบการเสียชีวิต 7 วัน, 50 วัน และ ทำบุญ 100 วัน ของผู้ล่วงลับ เจ้าภาพจะต้องนิมนต์พระสงฆ์จำนวน 8 รูป, 10 รูป หรือมากกว่านั้นแล้วแต่กรณี มาสวดเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายสังฆทาน ภัตตาหาร และทอดผ้าบังสุกุล เพื่อส่งผลบุญให้กับผู้ล่วงลับ

นำสังฆทานที่จัดเตรียมแล้วไปยังวัดที่ต้องการถวาย จากนั้นให้แจ้งเจ้าหน้าที่หรือผู้รับผิดชอบของทางวัด ว่าต้องการมาถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร แจ้งความประสงค์หรือไปยัง จุดที่ ได้มีการกำหนดไว้แล้วเพื่อการถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร ของวัดนั้น ซึ่งมีการกำหนดสถานที่ไว้แล้ว

แจ้งต่อท่านถึงความตั้งใจ ที่จะมาถวายสังฆทาน หรือ ผ้าไตร แก่ผู้ล่วงลับ โดยอาจเขียนชื่อและนามสกุลของ พูดล่วงลับ แจ้งกับพระสงฆ์ผู้มารับสังฆทาน หรือ ผ้าไตร เพื่อให้ท่านรับทราบถึงจุดประสงฆ์ของการทำสังฆทานในครั้งนี้ จากนั้นท่านอาจกล่าว ขึ้น เพื่อเรียกขาน วิญญาณผู้ล่วงลับให้มารับทราบ มาเตรียมรับบุญนี้

เครดิตเพจข้อมูลจาก https://www.wreathmala.com/

ทางปฏิบัติส่วนใหญ่นั้น พิธีทำบุญครบรอบให้ผู้ล่วงลับน้ัน จะมีครบรอบวันตาย 7 วัน, 50 วัน , 100 วัน และ 1 ปี

นิยมทำกันอยู่ 2 แบบ คือ การทำบุญวันเดียว กับทำบุญแบบสองวัน

ทำบุญวันเดียว เจ้าภาพจะต้องนิมนต์พระสงฆ์จำนวน 5 รูป, 7 รูป หรือ 9 รูป มาสวดเจริญพระพุทธมนต์ และเลี้ยงอาหารพระให้เสร็จสิ้นภายในวันเดียวกัน โดยอาจจะทำในช่วงที่พระฉันเช้าหรือฉันเพล ตามความสะดวกของเจ้าภาพก็ได้

ส่วนในกรณีที่ทำบุญแบบสองวัน เจ้าภาพจะต้องนิมนต์พระสงฆ์จำนวน 5 รูป, 7 รูป หรือ 9 รูป มาสวดเจริญพระพุทธมนต์ในตอนเย็น และในวันรุ่งขึ้นก็เลี้ยงอาหารพระในตอนเช้าหรือตอนฉันเพล โดยเจ้าภาพสามารถจัดให้มีการแสดงธรรมเทศนาด้วยก็ได้

เครดิตข้อมํลจากเพจ

การจัดเลือกซื้อสังฆทานหรือสิ่งของสำหรับถวาย

เบื้องต้นมีข้อแนะนำดี ๆ ดังนี้สำหรับผู้ล่วงลับ

สังฆทานที่นำไปถวายควรประกอบไปด้วย

1. อาหารสด เช่น ข้าวต้ม กระเพาะปลา ก๋วยจั๊บ ผัดผักรวมมังสะวิรัติ ควรมีอาหารประมาณ 3 ประเภท ควรมีอาหารแห้งด้วยประกอบไปด้วย ข้าวสาร ปลากระป๋อง หรืออาหารแห้งสำเร็จรูปอื่นๆ หรือสิ่งที่จะให้โรงครัวประกอบอาหารได้ เช่น น้ำปลา ซอส ซีอิ๊ว เพราะบางวัด ท่านมีโรงครัว หากทำสังฆทานอุทิศให้ทำอาหารที่คนตายชอบก็ได้ หากทำเพื่อตนเองสร้างบุญก็เอาสิ่งที่เราทานเราชอบ (อานิสงส์ที่จะได้รับ คือมีร่างกายบริบูรณ์ไปไหนมาไหน ไม่อดไม่อยาก)

2. ข้าวสวย (อานิสงส์ที่ได้รับเหมือนข้อหนึ่ง)

3. น้ำ สะอาด (อานิสงส์ที่ได้รับคือ มีน้ำดื่ม ไม่ขาดแคลนน้ำใช้ หากเรายังไม่ตาย)

4. รองเท้า 1 คู่ (อานิสงส์ที่จะได้รับคือ จะมีสัมผัสที่ดีขึ้น เท้าเดินเหินสะดวก ตายไปมียานพาหนะทิพย์สะดวกสบาย การให้ยานพาหนะถือว่าให้ความสุข แค่รองเท้า 1 คู่ ญาติเราที่ตายโมทนาเขาจะมีความสุขขึ้นมากๆ)

5. จีวร อังสะ สบง รัดประคต หากเราทรัพย์น้อย ให้ทำบุญผ้าเช้ดหน้า 1 ผืนก็ได้ (อานิสงส์ที่เราจะได้รับคือไม่ขาดแคลน เครื่องนุ่งห่ม แล้วก็ใส่อะไรก็สบายดูดี ผิวพรรณงดงาม ผู้ได้รับคือมีเสื้อผ้าเครื่องทรงทิพย์)

6. ยารักษาโรค (อานิสงส์ที่จะได้รับคือ โรคที่เราเป็นจะบรรเทาลง)

7. เสื่อ สาด เครื่องปูลาด อาสนะสงฆ์ (อานิสงส์ที่จะได้รับคือ ฐานะจะไม่ตกต่ำ อย่างน้อยเท่าเดิม ฐานะทรงตัว เกิดชาติหน้าสูงศักดิ์ และหนุนเรื่องการทำภาวนาจะได้ผลไว เข้าสมาธิได้ไว)

8. หนังสือ มนต์พิธีแปล (อานิสงส์ได้รับคือสติปัญญา ที่เพิ่มขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม ช่วยสืบต่อพระศาสนาด้วย)

9. พระ พุทธรูปปางวันเกิดเรา หรือคนที่เราจะอุทิศให้ ขนาดตั้งแต่ 7 นิ้วขึ้นไป (อานิสงส์ที่จะได้รับคือสุขภาพกายเราจะดีขึ้นทรงตัว รูปงามขึ้น มีความเด่นท่ามกลางฝูงชน มีเสน่ห์ขึ้น)

10. ร่ม (อานิสงส์ที่จะได้รับคืออยู่ไหนก็ไม่เดือดร้อน สุขสบาย มีที่พึ่งร่มเย็น ผีโมทนาแล้วได้ ร่มหรือที่พักพิง)

11.อื่น ๆ เช่น สบู่ ผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ ไม้ถูพื้น แปรงล้างห้องน้ำ ไม้กวาด (อานิสงส์ที่ได้รับ ผิวพรรณผู้ที่ไม่สวยจะดีขึ้นนวลเนียนสวยขึ้นโรคที่เป็นจะทุเลาลง ไม้กวาดจะทำให้เราผิวงาม)

12. เงินประมาณ 100 บาท ใส่ซองเขียนด้วยว่า ใช้ในกิจสงฆ์ส่วนรวมได้หมดทุกอย่าง (หากท่านนำไปใช้ ซื้อข้าวของมาทำภัตตาหารให้พระเณรเราก็ได้บุญสังฆทาน หากท่านนำไปสร้างโบสถ์
เราได้บุญวิหารทาน เงินส่วนนี้จึงสำคัญมาก จะหนุนให้เราได้ลาภลอย)

เครดิตจากเพจ https://dharayath.com/

ทำบุญตักบาตร คืออะไร มีที่มาตั้งแต่สมัยพุทธกาลอย่างไร

ทำบุญตักบาตร คืออะไร มีที่มาตั้งแต่สมัยพุทธกาลอย่างไร

ทำบุญตักบาตร เป็นการทำบุญที่มีมาช้านานสำหรับชาวพุทธ ซึ่งเป็นความตั้งใจที่จะถวายหรือทำทานเพื่อทำให้จิตใจลดละความตรระหนี่และความโลภ รู้จักการให้ ด้วยการใส่บาตร และยังนับได้ว่าส่งผลถึงอานิสงส์ให้กับผู้ใส่และผู้ล่วงลับ เพราะมักจะกรวดน้ำและอธิฐานถึงผู้ล่วงลับ  ทำบุญตักบาตรนั้นมีมาตั้งแต่พทุธกาลเลยทีเดียว

การทำบุญตักบาตรมีทั้งตักบาตรประจำวัน และ ตามวันสำคัญทางศาสนา เช่นวัน ออกพรรษา หรือที่เราเรียกว่า ตักบาตรเทโว

ทำบุญตักบาตร คืออะไร

คือประเพณีอย่างหนึ่งที่ชาวพุทธปฏิบัติกันมาแต่สมัยพุทธกาล พระภิกษุจะถือบาตรออกบิณฑบาตเพื่อรับอาหารหรือทานอื่น ๆ ตามหมู่บ้านในเวลาเช้า ผู้คนที่ออกมาตักบาตรจะนำของทำทานต่าง ๆ เช่น ข้าว อาหารแห้ง มาถวายพระ

ประเพณีนี้ชาวพุทธถือกันว่าเป็นการสร้างกุศล และถือว่าเป็นการแผ่ส่วนกุศลให้กับญาติผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย โดยเชื่อกันว่าอาหารที่ถวายไปนั้นจะส่งถึงญาติผู้ล่วงลับด้วย

เครดิตเพจจาก

ทำบุญตักบาตรมีที่มาอย่างไร

การทำบุญตักบาตรนี้มีมาแต่ครั้งพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ทรงผนวชใหม่ๆ ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงประทับที่สวนมะม่วง พระองค์เสด็จบิณฑบาตผ่านกรุงราชคฤห์ เมืองหลวงของแคว้นมคธ ชาวเมืองเห็นพระมาบิณฑบาตก็ชวนกันนำอาหารมาตักบาตรเป็นครั้งแรก นับแต่นั้นมา การตักบาตรจึงถือเป็นประเพณีมาจนบัดนี้

และเมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่ที่ควงไม้เกด มีพ่อค้า ๒ คน นำข้าวสัตตุก้อน สัตตุผง ซึ่งเป็นเสบียงสำหรับเดินทางเข้าไปถวาย พระพุทธองค์ทรงรับไว้ด้วยบาตร นี่ก็เป็นที่มาของการตักบาตรทางพระพุทธศาสนาด้วยประการหนึ่ง

เครดิตจากเพจ https://www.thammculture.com/merit-making-morning/

ประเพณีตักบาตรที่สำคัญในวันสำคัญทางศาสนา “ตักบาตรเทโว”

การทำบุญตักบาตร ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 เนื่องในโอกาสที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก คำว่า เทโว ย่อมาจากคำว่า เทโวโรหนะ ซึ่งแปลว่า การเสด็จลงจากเทวโลก ความเดิมมีว่าในพรรษาที่ 7 นับแต่วันตรัสรู้พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อเทศน์โปรดพระพุทธมารดา จนบรรลุโสดาปัตติผล ครั้นออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 แล้วจึงเสด็จลงจากเทวโลกที่เมืองสังกัสสะนคร ในกาลที่เสด็จลงจากเทวโลก ได้มีเนินเป็นอันเดียวกันจนถึงพรหมโลก เมื่อทรงแลดูข้างล่าง สถานที่นั้นก็มีเนินอันเดียวกันจนถึงอเวจีมหานรก ทรงแลดูทิศใหญ่และทิศเฉียง จักรวาลหลายแสนก็มีเนินเป็นอันเดียวกัน เทวดาก็เห็นพวกมนุษย์ แม้พวกมนุษย์ก็เห็นเทวดา สัตว์นรกก็เห็นมนุษย์และเทวดา ต่างก็เห็นกันเฉพาะหน้าทีเดียว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีขณะที่พระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ รุ่งขึ้นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11

ชาวเมืองจึงพากันทำบุญตักบาตรเป็นการใหญ่เพราะไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้ามาถึง 3 เดือน การทำบุญตักบาตรในวันนั้นจึงได้ชื่อว่า ตักบาตรเทวโรหนะ ต่อมามีการเรียกกร่อนไปเหลือเพียง ตักบาตรเทโว เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นและเพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามให้คงอยู่ เทศบาลนครเชียงรายจึงได้จัดงานประเพณี “ตักบาตรเทโว” เพื่อสืบทอดและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นประจำทุกปี

 

การทำบุญตักบาตรจะสมบูรณ์ได้ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้

  • ต้องเตรียมใจให้พร้อม ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะบุญที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใจของผู้ถวาย ท่านแนะนำให้รักษาเจตนาให้บริสุทธิ์ทั้ง 3 ขณะ คือ
  • ก่อนถวาย ตั้งใจเสียสละอย่างแท้จริง
  • ขณะถวาย ก็มีใจเลื่อมใส ถวายด้วยความเคารพ
  • หลังจากถวายแล้ว ต้องยินดีในทานของตัวเองจิตใจเบิกบานเมื่อนึกถึงทานที่ตนเองได้ถวายไปแล้ว การทำใจให้ได้ทั้ง 3 ขณะดังกล่าวนี้ นับว่ายากมาก เพราะมีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้จิตใจของเราเศร้าหมองในขณะใดขณะหนึ่งได้

เครดิตเพจ https://correspondence.cad.go.th/main.php?filename=takbat

พละ 5 คืออะไร กำลังแห่งหลักธรรมรู้แจ้งและกำจัดนิวรณ์

พละ 5 คืออะไร กำลังแห่งหลักธรรมรู้แจ้งและกำจัดนิวรณ์

พละ 5 หรือกำลังทั้ง 5 ที่สนับสนุนให้มีกำลังต่อจิตใจให้นำพาไปสู่ความสำเร็จ นับว่าเป็นหลักธรรมหนึ่งซึ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะที่ปฏิบัติภาวนาสมาธิ เพราะการปฏิบัติให้ได้เกิดความสงบจากสมถะนั้น เป็นเรื่องที่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายมากมายของจิต เพราะจิคดั้งเดิมนั้น จิตจะชอบท่องเที่ยว

ดังนั้น ผู้ที่ตั้งใจจะนั่งสมาธิและปฏิบัติภาวนาที่เพิ่งเร่ิมต้น ต้องอาศัยกำลังใจพละ 5 อย่างมาก เมื่อนั่งสมาธิใหม่แล้วจะเผชิญความปรุงแต่ง ไม่นิ่ง เกิดความท้อ ง่วง สับสน ลังเลว่า นั่งหลับตาไปทำไม ไม่เห็นมีอะไร  จนเกิดการเลิกก็มาก

หลักธรรมอันนี้จึงเป็นหลักทำที่ต้องทำความเข้าใจเป็นอย่างมาก เพื่อสร้างกำลังและพลังใจในการปฏิบัติ รวมถึงนำมาต่อสู้กับนิวรณ์ ในการนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติธรรม และเป็นหลักธรรมที่เป็นปกปักษ์กับ นิวรณ์ 5 ที่เป็นเครื่องกั้นและปิดขวางไม่ให้บรรลุความดีไม่เปิดโอกาสให้ทำความดี และเป็นเครื่องกั้นความดีไว้ไม่ให้เข้าถึงจิต เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุธรรม รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น รู้สึกหดหู่ไม่อยากทำอะไร ท้อแท้ หมดหวัง  แต่ถ้าเราเข้าถึงหลักธรรม พละ5 จะทำให้มีความต่อสู้ทำให้เกิดความเพียร ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้

พละ 5 คืออะไร

พละ 5 คืออะไร

คือ กำลังห้าประการ  ได้แก่

1. ศรัทธาพละ  ความเชื่อ กำลังแห่งความเชื่อ ความศรัทธา เป็นศรัทธาที่มีสติในความเชื่อ และไม่งมงาย อธิบายตามหลักเหตุผล เข่น เชื่อในความขยันและอดทน ย่อมผ่านอุปสรรคและนำพาไปสู่ความสำเร็จ

2.วิริยะพละ ความเพียร กำลังแห่งความเพียรพยายาม ไม่ท้อถอย ทำให้ลดความหดหู่ลงไป มีกำลังใจให้กับตัวเอง เมื่อเห็นสภาวะเเห่งเหตุผลและความเป็นจริง ส่งผลให้มีความศรัทธาที่มีความเพียร เช่นไม่ท้อในการทำความดีเเละละความชั่ว ไม่ท้อ

3. สติพละ ความระลึกได้ กำลังแห่งสติ ระลึกรู้ รู้ตัวเองว่าทำอะไร ไม่สามารถทำให้ความโกรธ ราคะ เข้ามาครอบงำจิตใจ เพราะการรู้ตัวว่าเหตุเหล่านี้จากนิวรณ์นำมาสู่ความเดือนร้อนในภายหลังมากมาย ตั้งสติด้วยอารมณ์แห่งวิปัสนากรรมฐาน รู้ ทุกอย่างต้องดับ จากกันไปเป็นตามธรรมดา เห็นการปรุงแต่งจากสังขารเหล่านั้นก็ไม่เที่ยง

4.สมาธิพละ ความตั้งใจมั่น กำลังแห่งใจที่ตั้งมั่น ความตั้งมั่นเหมือนรักษาความดี ไม่ให้ความดีนั้นหายไปจากสติ แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความดีนั้น

5.ปัญญาพละ ความรอบรู้ กำลังแห่งความรู้ที่เกิดจากปัญญาญาณ จิตคือตัวรู้ที่ได้ปัญญา ความรอบรู้ ที่มีสติและสมาธิเป็นฐานเพื่อส่งเสริมให้เห็นปัญญา โลกุตตระ แห่งสัจธรรม

ธรรมอันเป็นปกปักษ์นิวรณ์ทั้ง 5 ข้อ

1.ศรัทธา แก้วิจิกิจฉา ความเชื่ออันมีปัญญาและเหตุผลตามธรรมะ นำมาสู่การแก้ความสงสัยลังเล เช่น ลังเลสังสัยในนิพาน
2.วิริยะ แก้ถีนมิทธะ ความเพียร พยายาม ไม่ลังเล นำพามาสู่ความอดทน แก้ความหดหู่ ซึมเศร้า
3.สติ แก้พยาบาท
4.สมาธิ แก้อุทธัจจะกุกกุจจะ
5.ปัญญา แก้กามฉันทะ

ขอบคุณเครดิตเพจ

 

วันอาสาฬหบูชา ประวัติและความสำคัญ

วันอาสาฬหบูชา ประวัติและความสำคัญ

วันอาสาฬหบูชา ปีนี้  2567 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ปีนี้ตรงกับวันที่ 20 กรกฎาคม 2567 มีความสำคัญกับชาวพุทธเป็นอย่างมาก พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ ถือกำเนิดเร่ิมต้นในวันนี้เมื่อ 2500กว่าปีที่ผ่านมา

วันอาสาฬหบูชา 2667 ประวัติและความสำคัญ

วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ปีนี้ตรงกับวันที่ 20 กรกฎาคม 2567

คำว่า “อาสาฬหบูชา” มาจากภาษาบาลี ประกอบด้วยคำว่า “อาสาฬห” แปลว่า เดือน 8 และคำว่า “บูชา” แปลว่า การบูชา ดังนั้น วันอาสาฬหบูชา จึงหมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน 8

 

ประวัติวันอาสาฬหบูชา 

วันอาสาฬหบูชา ตรงกับ วันเพ็ญ เดือน ๘ ก่อนปุริมพรรษา (ปุริมพรรษาเริ่ม ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ในปีที่ไม่มีอธิกมาสเป็นต้นไป ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑) ๑ วัน เป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือ เทศน์กัณฑ์แรก ชื่อว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โปรดพระปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมือง พาราณสี ในปีแรกที่ทรงตรัสรู้และเพราะผลของพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้เป็นเหตุให้ท่าน พระโกณฑัญญะในจำนวนพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้ธรรมจักษุ (โสดาปัตติมรรค หรือ โสดาปัตติมรรคญาณ คือญาณที่ทำให้สำเร็จเป็นโสดาบัน) ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญา รู้เห็นความจริงว่า สิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีความดับไป เป็นธรรมดา แล้วขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระองค์ เป็นพระอริยสงฆ์องค์แรกของ พระพุทธศาสนา และทำให้พระรัตนตรัยครบองค์ ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

นับแต่วันที่สมเด็จพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ คือ ในวันเพ็ญเดือน ๖ พระองค์ประทับเสวยวิ มุตติสุขในบริเวณโพธิมัณฑ์นั้น ตลอด ๗ สัปดาห์ คือ

– สัปดาห์ที่ ๑ คงประทับอยู่ที่ควงไม้อสัตถะอันเป็นไม้มหาโพธิ์ เพราะเป็นที่ตรัสรู้ ทรงใช้ เวลาพิจรณาปฏิจจสมุปปาทธรรมทบทวนอยู่ตลอด ๗ วัน

– สัปดาห์ที่ ๒ เสด็จไปทางทิศอีสานของต้นโพธิ์ ประทับยืนกลางแจ้งเพ่งดูไม้มหาโพธิ์โดย ไม่กระพริบพระเนตรอยู่ในที่แห่งเดียวจนตลอด ๗ วัน ที่ที่ประทับยืนนั้นปรากฎเรียกในภายหลังว่า “อนิสิมสสเจดีย์”

– สัปดาห์ที่ ๓ เสด็จไปประทับอยู่ในที่กึ่งกลางระหว่างอนิมิสสเจดีย์ กับต้นมหาโพธิ์แล้วทรง จงกรมอยู่ ณ ที่ตรงนั้นตลอด ๗ วัน ซึ่งต่อมาเรียกที่ตรงนั้นว่า “จงกรมเจดีย์”

– สัปดาห์ที่ ๔ เสด็จไปทางทิศพายัพของต้นมหาโพธิ์ ประทับนั่งขัดบัลลังก์พิจารณาพระอภิ ธรรมอยู่ตลอด ๗ วัน ที่ประทับขัดสมาธิเพชร ต่อมาเรียกว่า”รัตนฆรเจดีย์”

– สัปดาห์ที่ ๕ เสด็จไปทางทิศบูรพาของต้นมหาโพธิ์ประทับที่ควงไม้ไทรชื่ออชาปาลนิโครธ อยู่ ตลอด ๗ วัน ในระหว่างนั้น ทรงแก้ปัญหาของพราหมณ์ผู้หนึ่งซึ่งทูลถามในเรื่องความเป็นพราหมณ์

– สัปดาห์ที่ ๖ เสด็จไปทางทิศอาคเนย์ของต้นมหาโพธิ์ ประทับที่ควงไม้จิกเสวยวิมุตติสุขอยู่ ตลอด ๗ วัน ฝนตกพรำตลอดเวลา พญานาคมาวงขดล้อมพระองค์และแผ่พังพานบังฝนให้พระองค์ทรงเปล่งพระอุทานสรรเสริญความสงัดและความไม่เบียดเบียนกันว่าเป็นสุบในโลก

– สัปดาห์ที่ ๗ เสด็จย้ายสถานที่ไปทางทิศใต้ของต้นมหาโพธิ์ ประทับที่ควงไม้เกดเสวยวิมุตติ สุขตลอด ๗ วัน มีพาณิช ๒ คน ชื่อ ตปุสสะ กับ ภัลลิกะเดินทางจากอุกกลชนบทมาถึงที่นั้น ได้เห็นพระพุทธองค์ประทับอยู่ จึงนำข้าวสัตตุผงข้าวสัตตุก้อน ซึ่งเป็นเสบียงกรังของตนเข้าไปถวายพระองค์ทรงรับเสวยเสร็จแล้ว สองพาณิชก็ประกาศตนเป็นอุบาสก นับเป็นอุบาสกคู่แรกในประวัติกาลทรงพิจารณาสัตว์โลกเมื่อล่วงสัปดาห์ที่ ๗ แล้ว พระองค์เสด็จกลับมาประทับที่ควงไม้ไทรชื่ออชาปาลนิโครธอีก ทรงคำนึงว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นี้ ลึกซึ้งมาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม จีงท้อพระทัยที่สอนสัตว์ แต่อาศัยพระกรุณาเป็นที่ตั้ง ทรงเล็งเห็นว่าโลกนี้ผู้ที่พอจะรู้ตามได้ก็คงมี ตอนนี้แสดงถึงบุคคล ๔ เหล่า เปรียบกับดอกบัว ๔ ประเภท คือ

๑. อุคฆฏิตัญญู ได้แก่ ผู้ที่มีอุปนิสัยสามารถรู้ธรรมวิเศษได้ทันทีทันใดในขณะที่มีผู้สอนสั่ง สอนเปรียบเทียบ เหมือนดอกบัวที่โผล่ขึ้นพ้นน้ำแล้ว พร้อมที่จะบานในเมื่อได้รับแสงพระอาทิตย์ในวันนั้น

๒. วิปจิตัญญู ได้แก่ ผู้ที่สามารถจะรู้ธรรมวิเศษได้ ต่อเมื่อท่านขยายความย่อให้พิสดารออกไปเปรียบเหมือนดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอระดับน้ำ จักบานในวันรุ่งขี้น

๓. เนยยะ ได้แก่ ผู้ที่พากเพียรพยายาม ฟัง คิด ถาม ท่องอยู่เสมอไม่ทอดทิ้ง จึงได้รู้ธรรม วิเศษ เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังไม่โผล่ขึ้นจากน้ำ ได้รับการหล่อเลี้ยงจากน้ำ แต่จะโผล่แล้วบานขี้นในวันต่อๆ ไป

๔. ปทปรมะ ได้แก่ ผู้ที่แม้ฟัง คิด ถาม ท่อง แล้วก็ไม่สามารถรู้ธรรมวิเศษได้ เปรียบเหมือน ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำติดกับเปือกตม รังแต่จะเป็นภักษาหารแห่งปลาและเต่า เมื่อเล็งเห็นเหตุนี้ จึงตกลงพระทัยจะสอน ทรงนึกถึงผู้ที่ควรโปรดก่อนคือ อาฬารดาบส กับ อุทกดาบส ท่านเหล่านี้ก็หาบุญไม่เสียแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ปัญจวัคคีย์ จีงทรงตัดสินพระทัยว่า ควรโปรดปัญจวัคคีย์ก่อน แล้วก็เสด็จออกเดินไปจากควงไม้ไทรนั้น มุ่งพระพักตร์เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี การที่เสด็จเดินทางจากตำบลพระศรีมหาโพธิ์ จนกระทั่งถึงกรุงพาราณสีเช่นนี้ แสดงให้เห็น เพระวิริยอุตสาหะอันแรงกล้าเป็นการตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะประทานปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์เป็นพวกแรกอย่างแทัจริง หนทางระหว่างตำบลพระศรีมหาโพธิ์ถึงพาราณสีนั้น ในปัจจุบัน ถ้าไปทางรถไฟก็เป็นเวลา ๗-๘ชั่วโมง การเสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่า อาจใช้เวลาตั้งหลายวัน แต่ปรากฏว่าพอตอนเย็นขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอาสาฬหะนั้นเอง

พระพุทธองค์ก็เสด็จถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวันแขวงเมืองพาราณสีอันเป็นที่อยู่แห่งปัจจวัคคีย์พอเสด็จ เข้าราวป่าพวกปัญจจวัคคีย์นั้นได้เห็นจึงนัดหมายกันว่า จะไม่ไหว้ ไม่ลุกรับ และไม่รับบาตรจีวรจะตั้งไว้ให้เพียงอาสนะเท่านั้น เพราะเข้าใจว่าพระองค์ กลายเป็นคนมีความมักมากหมดความเพียรเสียแล้ว พอพระองค์เสด็จถึง ต่างก็พูดกับพระองค์โดยไม่เคารพพระองค์ตรัสห้ามและทรงบอกว่าพระองค์ตรัสรู้แล้วจะแสดงธรรมสั่งสอนให้ฟังพราหมณ์ทั้ง ๕ ก็พากันคัดค้านลำเลิกด้วยถ้อยคำต่างๆ ที่สุดพระองค์จึงทรงแจงเตือนให้รำลึกว่า พระองค์เคยกล่าวเช่นนี้มาในหนหลังบ้างหรือ พราหมณ์ทั้ง๕ ระลึกได้ ต่างก็สงบตั้งใจฟังธรรมทันที
ค่ำวันนั้น พระองค์ประทับแรมอยู่กับพราหมณ์ทั้ง ๕ รุ่งขี้นวันเพ็ญแห่งเดือนอาสาฬหะ พระองค์ทรงเริ่มแสดงธัมมะ-จักกัปปวัตตนสูตร นับเป็นเทศนากัณฑ์แรกโปรดปัญจวัคคีย์นั้น โดยใจความคือทรงยกที่สุด ๒ ฝ่าย ได้แก่ การประกอบตนให้ลำบากด้วยการทรมานกาย และการไม่ประกอบตนให้เพลิดเพลินในกามสุข ทั้ง ๒ นี้นับว่า เป็นของเลวทราม ไม่ควรเสพเฉพาะทางสายกลางเท่านั้น เป็นข้อปฏิบัติที่สมควร แล้วทรงแสดงทางสายกลางคือ อริยมรรค ๘ ประการ ได้แก่

๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ
๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ
๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ
๔. สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ
๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ
๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ
๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ
๘. สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ

เครดิตจากเพจ https://www.onab.go.th/th/content/category/detail/id/73/iid/3397

ความสำคัญวันอาสาฬหบูชา

วันอาสาฬหบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือวันอาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นกาสี อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาคือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแก่ปัญจวัคคีย์

การแสดงธรรมครั้งนั้นทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ 1 ในปัญจวัคคีย์ ประกอบด้วย โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรมหรือบรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน ท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะจึงกลายเป็นพระสาวกและภิกษุองค์แรกในโลก และทำให้ในวันนั้นมีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วันนี้ถูกเรียกว่า “วันพระธรรม” หรือ วันพระธรรมจักร อันได้แก่วันที่ล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก และ “วันพระสงฆ์” คือวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และจัดว่าเป็น”วันพระรัตนตรัย” อีกด้วย

เครดิตเพจ https://th.wikipedia.org/wiki/

วันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันแรกที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาแก่ชาวโลก เป็นวันที่พระสงฆ์เกิดขึ้นครั้งแรกในโลก และเป็นวันที่พระรัตนตรัยครบองค์ 3 ทำให้ชาวพุทธทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับวันอาสาฬหบูชา และถือปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาต่าง ๆ ในวันอาสาฬหบูชา

เครดิตเพจ

 

วันเข้าพรรษา ปี 2567 ตรงกับวันที่เท่าไหร สำคัญต่อชาวพุทธอย่างไร

วันเข้าพรรษา ปี 2567 ตรงกับวันที่เท่าไหร สำคัญต่อชาวพุทธอย่างไร

วันเข้าพรรษา 2567 ตรงกับวันที่เท่าไหร

วันเข้าพรรษา พ.ศ. 2567 ตรงกับ วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2567 แรม 1 ค่ำ เดือนแปด

วันเข้าพรรษา มีความสำคัญอย่างไร

โดยวันเข้าพรรษาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ต่อเนื่องมาจาก วันอาสาฬหบูชา (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8) ซึ่งพุทธศาสนิกชนชาวไทยทั้งพระมหากษัตริย์และคนทั่วไปได้สืบทอดประเพณีปฏิบัติการทำบุญในวันเข้าพรรษามาช้านานแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย

ประวัติวันเข้าพรรษา

วันเข้าพรรษา เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ พอถึงฤดูฝนพระภิกษุส่วนใหญ่ก็อยู่ประจำที่เช่นเดียวกับนักบวชนอกพุทธศาสนาที่มักถือเป็นประเพณีปฏิบัติอยู่จำพรรษามาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ปรากฏว่ามีพระภิกษุกลุ่มฉัพพัคคีย์พาบริวารจำนวน 1,500 รูปเที่ยวจาริกไปตามที่ต่างๆ เนื่องจากตอนต้นพุทธกาลยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุอยู่จำพรรษา ทำให้ชาวบ้านพากันติเตียนถึงการจาริกของท่านเพราะไปเหยียบข้าวกล้าในนาเสียหาย เมื่อรู้ไปถึงพระพุทธเจ้า จึงทรงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ ตรัสถามจนได้ความจริง แล้วทรงบัญญัติให้พระภิกษุอยู่จำพรรษา เป็นเวลา 3 เดือนในฤดูฝน

ประเพณีสำคัญขึ้นในวันเข้าพรรษามี 2 ประเพณีคือ

  1. ประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝน

    เกิดขึ้นโดยมีเรื่องเล่าว่า ในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งนางวิสาขา มหาอุบาสิกาต้องการจะนิมนต์พระภิกษุไปฉันภัตตาหารที่บ้าน

    จึงให้หญิงรับใช้ไปพระวิหารเชตวันเพื่อนิมนต์พระ ปรากฏว่านางไปเห็นพระภิกษุเปลือยกายอาบน้ำฝนอยู่ ก็กลับมารายงานด้วยความเข้าใจผิดว่าไม่พบพระ เห็นแต่พวกชีเปลือย นางวิสาขาก็รู้ด้วยปัญญาว่าคงเป็นพระอาบน้ำฝนอยู่ ดังนั้น นางจึงได้ทูลขอพรจากพระพุทธเจ้า ขอถวายผ้าอาบน้ำฝนแด่พระภิกษุและภิกษุณีเป็นประจำแต่นั้นมา จึงเกิดเป็นประเพณีที่ชาวพุทธปฏิบัติสืบต่อมาจนทุกวันนี้ และกล่าวกันว่า ผู้ที่ถวายผ้าอาบน้ำฝนจะได้รับอานิสงส์เหมือนการถวายผ้าอื่นๆตามนัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คือ ทำให้เป็นผู้มีผิวพรรณผ่องใส สวยงาม ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีความสะอาดผ่องใสทั้งกายและใจ

  2. ส่วนประเพณีแห่เทียนพรรษา

    เกิดจากความจำเป็นที่ว่าสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้เช่นปัจจุบัน ดังนั้น เมื่อพระภิกษุอยู่รวมกันมากๆเพื่อปฏิบัติกิจวัตร เช่น การสวดมนต์ตอนเช้ามืดและพลบค่ำ การศึกษาพระปริยัติธรรม การบูชาพระรัตนตรัย ฯลฯ จำเป็นต้องใช้แสงสว่างจากเทียน

เครดิตเพจ

Pin It on Pinterest