โดย admin | พ.ย. 3, 2024 | ธรรมะน่าสนใจ, สมาธิ, หลักธรรมที่สำคัญ
เมื่อจิตเพ่งสมาธิ จนสงบสู่ ในอัปปณาสมาธิแล้ว จะมีความสงบตามลำดับ สำหรับผู้ที่ปฏิบัติสมาธิ จะเริ่มเห็นตามลำดับขั้นตอนของการปฏิบัติ ของ ฌาน 4 ซึ่งจัดได้อยู่ในรูปฌาน ซึ่งบางครั้งหลายท่านได้อ่านมาก็จะมี ฌาน 8 ด้วย ซึ่งเป็นการแบ่งของฌาน

ฌาน คืออะไร คลิกอ่าน
ฌาณ คืออะไร
ลักษณะภาวะของจิต ที่สงบจากการปฏิบัติสมาธิ ภาวนา เพ่งจิตสมาธิจนเป็น อัปปณาสมาธิ
อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท เป็นการเจริญสมาธิในขั้นฌาน ถือเป็น ความสำเร็จสูงสุดของการเจริญสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป
อัปปะนาสมาธิของปฐมฌาน เปรียบดังเด็กที่วิ่งได้อย่างคล่องแคล่ว
เมื่อนั่งสมาธิตามลำดับหลังจากที่ได้ฝึกปฏิบัติจนแน่ว และมาตามลำดับตั้งแต่
- ขณิกสมาธิ การนั่งสมาธิที่เริ่มต้น จิตเริ่มเป็นสมาธิ แต่ก็ตั้งได้เดี๋ยวเดียวก็ จะนึึกถึงอย่างอื่น ๆ แต่ก็จะกลับมารู้สึกตัวได้ง่าย ลักษณะจิตเหมือน เด็กที่กำลังตั้งไข่
- อุปปจารสมาธิ มีอารมณ์กับความแน่วแน่มาขึ้น เริ่มเฉียด ๆ ฌาน เปรียบเหมือน เด็กนั้นเริ่มเดินได้คล่องแคล่ว หลังจากที่พ้นจากวัยตั้งไข่ แต่ยังวิ่งไม่คล่อง
- อัปปณาสมาธิ มีอารมณ์ที่ลงร่วมเพ่งในความสงบเป็นที่ตั้งและเกิด ฌาน
หลังจากได้หรือปฏิบัติจนถึง อัปปณาสมาธิ ก็จะทำให้จิตมีความสงบเป็นอารมณ์นิ่ง ที่เรียกว่า เข้าสู่ ฌาน ซึ่งมีดังต่อไปนี้

ฌาณ 4 คืออะไร
1) ฌาน 1 ปฐมฌาน (วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา) โดยใช้คำภาวนาและพิจารณาในขันธ์ 5 หรือกำหนดลมหายใจเข้าออก เพื่อให้จิตทรงตัว
2) ฌาน 2 ทุติยฌาน (ปิติ สุข เอกัคคตา) โดยคำภาวนาจะหายหรือหยุดไปเอง ไม่มีวิตกวิจาร แต่จะมีจิตใจชุ่มชื่น ลมหายใจเบาสบาย มีแต่ปีติ และเอกัคตารมณ์ คือ มีอารมณ์เป็นหนึ่งและทรงตัวมากขึ้น
3) ฌาน 3 ตติยฌาน (สุข เอกัคคตา) ลมหายใจจะเบามากและความอิ่มเอิบหายไป เหลือแต่ความสุขเยือกเย็น โดยจิตทรงตัวมาก อารมณ์ไม่เคลื่อนไหว ได้ยินเสียงภายนอกเบาลง และการทรงตัวแน่นสนิท
4) ฌาน 4 จตุตถฌาน (อุเบกขา เอกัคคตา) คือการตัดสุขได้ ไม่รับการสัมผัสทางจิตใจไม่มีความรู้สึก ทั้งจากเสียง ลม ยุ่งกัด เหลือแต่เอกัคตาพร้อมด้วยอุเบกขา ซึ่งฌานขั้นนี้เป็นอาการทางจิตที่ทรงตัวสมาธิดี มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีความสว่างไสวในจิต หากสามารถฝึกให้จิตทรงตัวอยู่ตลอดเวลา ก็จะนำไปสู่การเกิด “ทิพจักขุญาณ” ตามมาได้โดยง่าย
เครดิต https://www.moe.go.th/%E0%B8%8C%E0%B8%B2%E0%B8%99-4/
การแบ่งประเภทของฌาน
เมื่อเราศึกษาตามตำราจะพบกับคำว่า ฌาน 8 บ้าง หรือ ฌาน 4 บ้าง อาจจะทำให้กังวลและสับสน(จากตัวนิวรณ์ได้ คือ ความสงสัย)
ประเภทของฌาน มักแบ่งฌานออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ
รูปฌาน ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ ฌานที่เป็นรูปาวจร ได้แก่
- ปฐมฌาน ( ฌานที่ 1 ) ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา
- ทุติยฌาน ( ฌานที่ 2 ) ประกอบด้วย ปิติ สุข เอกัคคตา
- ตติยฌาน ( ฌานที่ 3 ) ประกอบด้วย สุข เอกัคคตา
- จตุตถฌาน ( ฌานที่ 4) ประกอบด้วย อุเบกขา เอกัคคตา
อรูปฌาน ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ ฌานที่เป็นอรูปาวจร ได้แก่
- อากาสานัญจายตนะ (มีความว่างเปล่าคืออากาสไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์)
- วิญญาณัญจายตนะ (มีความว่างระดับนามธาตุคือความว่างในแบบที่อายตนะภายนอกและภายในไม่กระทบกันจนเกิดวิญญาณธาตุการรับรู้ขึ้นเป็นอารมณ์)
- อากิญจัญญายตนะ (การไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์)
- เนวสัญญานาสัญญายตนะ (จะว่ามีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ คือแม้แต่อารมณ์ว่าไม่มีอะไรเลยก็ไม่มี)
เครดิต https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8C%E0%B8%B2%E0%B8%99
โดย admin | ก.ค. 24, 2024 | สมาธิ
อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแบบหนึ่งที่หลายท่านสงสัยเยอะเหมือนกันว่าคือสมาธิที่แตกต่างกับสมาธิแบบอื่นอย่างไร แต่แท้จริงแล้วผู้ปฏิบัติสมาธิครูอาจารย์หลายท่านจะแนะนำว่าอย่าสนใจว่าจะถึงขั้นไหนว่าจิตที่มีสมาธิแต่ขั้นแล้วก็ตั้งมั่นให้อยู่ใจจิตที่ดูอาการนั้นไปเรื่อย ๆ จะได้ไม่ทุกข์หรือสงสัยลังเล แต่บทความนี้ตั้งใจนำเสนอเพื่อให้รู้ความหมายและทำความเข้าใจให้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อเราหัดนั่งสมาธิมาเรื่อย จนถึงจุดหนึ่งจิตจะเร่ิมนิ่งสงบเร่ิมเข้าสู่ค่าว่า ฌาณ
แนะนำอ่านต่อ อุปจารสมาธิ คืออะไร สมาธิที่แน่วแน่ของจิต
อัปปนาสมาธิ คือ อะไร
อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท เป็นการเจริญสมาธิในขั้นฌาน ถือเป็น ความสำเร็จสูงสุดของการเจริญสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป
สรุปสมาธิมีกี่ระดับ
แบบเบื้องต้นเพราะตามตำราแล้วจะมีลึกลงไปทำให้เราสับสนได้ ดังนั้นไม่ต้องกังวลสนใจระดับขอให้ปฏิบัติเรื่อย ๆ
สมาธิแบ่งออกเป็น 3 ระดับ
1. ขฌิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะ ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถนำมาใช้การงานในชีวิตประจำวัน เช่นใช้อ่านหนังสือ หรือขับรถ
ขณิกสมาธิ เหมือนเด็กที่เพิ่งหัดเดิน
ขณิก(ชั่วขณะ) + สมาธิ(ความทรงไว้พร้อม ความตั้งมั่น)
สมาธิที่เป็นไปชั่วขณะ หมายถึง เอกัคคตาเจตสิกที่เกิดกับจิต ที่เป็นไปตามปกติของบุคคลทั่วไป เช่น ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สัมผัส ขณะที่ยืน เดิน นั่ง นอนตามปกติ ก็มีขณิกสมาธิเกิดร่วมด้วย
2. อุปจารสมาธิสมาธิเฉียด ๆ หรือจวนจะแน่วแน่ อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่มากกว่าขณิกสมาธิ แต่แน่วแน่น้อยกว่า
อุปจารสมาธิเหมือนเด็กที่เดินได้คล่องและเร่ิมจะวิ่ง
เป็นสมาธิที่เริ่มเป็นหนึ่ง ข้อสังเกตง่ายๆ ของผู้ปฏิบัติสมาธิ คืออารมณ์กรรมฐานเริ่มเป็นหนึ่ง เสียงหรืออารมณ์ภายนอกไม่สมารถเข้ามารบกวน ให้อารมณ์กรรมฐานถอยออกมาง่าย
3. อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท เป็นการเจริญสมาธิในขั้นฌาน ถือเป็น ความสำเร็จสูงสุดของการเจริญสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป
อัปปะนาสมาธิของปฐมฌาน เปรียบดังเด็กที่วิ่งได้อย่างคล่องแคล่ว
หมายถึงหมดความรู้สึกไปชั่วขณะหรือเป็นขณะๆ หรือเป็นวัน ตามกำลังสมาธิและความชำนาญ
เครดิต https://dharayath.com/
อธิบายให้เข้าใจเบื้องต้นสรุปดังนี้
การนั่งสมาธิเร่ิมต้นเลยเมื่อเราหัดนั่งใหม่ ๆ แล้วหลับตาลงจะรู้สึกว่า เราคิดโน่นคิดนี่ หรือ เรื่องราวต่าง ๆ เข้ามาให้เราปรุงแต่งผ่านจิตตลอดเวลาเหมือนลิงกระโดดไปกิ่งไม้ไม่หยุด แต่จะเร่ิมช้าลง และรู้สึกตัวได้ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปหรือฝึกนั่งบ่อย ๆ และจากความกังวลหรือฟุ้งซ่านจะเร่ิมน้อยลง แต่มีลังเลยอยู่ว่าต่อไปนั่งจะเห็นอะไรจะเป็นอะไรไหม ขอแนะนำเลยว่า ไม่ต้องนึก เห็นอะไรก็บอกว่า ปล่อยไปดูลมหายใจเข้าออกไปเรื่อย ๆ ที่เรียกว่า การใช้กรรมฐาน อาณาปานสติ เป็นตัวกำหนดสติ อาการที่เราเร่ิมนิ่งขึ้นมีกำลังนั่งได้นานขึ้น เรามักจะเปรียบเทียบกับสิ่งนี้ว่า “ขณิกสมาธิ คือ ขฌิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะ
“ขณิกสมาธิ คือ ขฌิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะ สามารถนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ เช่น การแน่วแน่กับการขับรถ ทำให้ขับปลอดภัย
ต่อมาหลังจากที่เราเร่ิมนั่งสมาธิได้ชั่วขณะนั้น เราจะรู้สึกว่านั่งได้นานขึ้น และ รู้สึกถึงการเดินลมหายใจได้ชัดขึ้นไม่ติดขัด และไม่ได้ไปกังวลว่าจะเร็วหรือช้า หรือลมหายใจสั้นหรือยาว เราเร่ิมจะเห็นว่าการหายใจนั้นลมเข้าออกได้ด้วยตัวมันเอง จนลืมตามาอีกทีเข้าใจว่านั่งได้แค่ห้านาทีแต่แท้จริงแล้วนั่งไป เกือบครึ่งชั่วโมง
เราจะนิ่งขึ้น อารมณ์สงบขึ้น นั่งได้ยาวนานขึ้น แต่ก็มีอาการเผลอคิดออกไปเหมือนกัน แต่จะรู้สึกตัวกลับมาสมาธิไวขึ้น เราจะเข้าใจได้ว่า ใกล้เคียงกับ อุปจารสมาธิสมาธิเฉียด ๆ หรือจวนจะแน่วแน่ อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่มากกว่าขณิกสมาธิ แต่แน่วแน่น้อยกว่า
ต่อมาเมื่อนั่งไปอีกด้วยจิตที่มีพละห้า กำลังทั้งห้า ไม่ท้อถอยและต้องควบคู่กับสติที่ไม่หลงว่านั่งแล้วจะวิเศษหรือเห็นอะไร ขอแนะนำว่าให้ทิ้งเหล่านี้เสีย ขอให้เน้นไปที่จิตสงบ เพื่อจะได้เกิดสมาธิที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว รวมลงเพื่อเข้าสู่การพิจารณาวิปัสานากรรมฐานได้เห็นตามความเป็นจริง สิ่งนั้นก็คือ จิตรวมลงแน่วแน่ที่ลมหายใจบางคร้ังอาจจะเร่ิมรู้สึกว่า ลมน้อยลง ๆ และไม่ได้บังคับอะไร แค่มีจิตเป็นผู้รู้
อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท เป็นการเจริญสมาธิในขั้นฌาน ถือเป็น ความสำเร็จสูงสุดของการเจริญสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป
อัปปนาสมาธิ
ทำในรูปแบบด้วยการนั่งสมาธิ ทำไปสักพักลมหายไป รู้สึกเหมือนหายใจด้วยหน้าอก และเริ่มเห็นจิตคิดเรื่องต่างๆ สลับไปมา และความคิดก็น้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็เห็นเพียงแต่การหายใจด้วยหน้าอก และนิ่งๆ อยู่แบบนั้น
(เครดิตเพจ https://www.dhamma.com/tag/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4/)
สุดท้ายนี้ขอฝากผู้อ่านบทความว่า จุดมุ่งหมายของศาสนาคือ เป็นเครื่องขนทุกข์ออกจากจิตใจของสัตว์โลก ไม่มีสิ่งอื่นใด ดังนั้นการนั่งสมาธิภาวนาก็เป็นเครื่องมือเร่ิมต้นให้เรานำจิตไปสู่การพ้นทุกข์อย่างมีสติ และหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด อย่าไปหลงหรือทะนงว่า เรานั่งขั้นนี้ขั้นโน้นดีเด่นกว่าใครหรือสูงกว่าใคร เพราะถ้ายังอยู่ในโลกนี้แล้วขึ้นชื่อว่า ยังอยู่ในวัฏฏะสงสายด้วยกันทั้งหมด จะเหาะได้ หรือมีพลังวิเศษอะไรสุดท้าย ก็จะต้องตายจากกันไป เพราะความตายหรือมรณะนั้นไม่มีใครต้านทานได้
โดย admin | ก.ค. 22, 2024 | สมาธิ
อุปจารสมาธิ หลายท่านยังสงสัยว่าคือสมาธิที่มีลักษณะอย่างไร และเป็นสมาธิขั้นใด มีการปฏิบัติและฝึกอย่างไร ในการนั่งสมาธิ ซึ่งโดยปกติแล้วหลายท่านมักจะได้จะได้ยินคำว่า อาณาปณสติ หรือคำอื่น ๆ เช่น ขณิกสมาธิ ซึ่งทำให้การปฏิบัติเกิดความลังเลสงสัยยิ่งทำให้เกิดวิจิกิจฉาที่มาจากนิวรณ์ จะทำให้เกิดเบื่อและเบิกการนั่งสมาธิไป
เรายกเลิกความกังวลและสงสัยทั้งหมดก่อน แล้วมาเร่ิมจากว่าเราทำสมาธิทำไมเพื่ออะไร
ความหมายของสมาธิ
แปลตามบาลีแปลว่า ความตั้งใจมั่น
สมาธิในความหมายของพจนานุกรม แปลว่า ที่ตั้งมั่นแห่งจิต
การทำสมาธิในทางพุทธศาสนา เรียกว่าสมถะ
สมาธิกับสมถะนั้นเกี่ยวข้องอย่างไรแล้วทำไมแล้วครูบาอาจารย์บางท่านมักสอนให้ทำสมถะก่อนหรือทำสมาธิให้นิ่งเสียก่อน เพราะว่าจิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความสงบต้องมีเสียก่อนถึงจะพิจารณาให้เป็นธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ได้อย่างแจ่มแจ้งได้ชัดเจน ง
ทำสมถะก่อน เพราะ คนเราที่หัดนั่งมาธิใหม่ นั่น จะรู้สึกเหมือนลิงกระโดดไปกิ่งไม้ไปมา และเผลอไปคิดโน่นคิดนี่ ทำให้เวลานั่งสมาธิแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายแล้วรู้สึกว่าทำไปไม่เกิดอะไร ดังนั้นจึงต้องนำ “อาณาปาณสติการฝึกดูลมหายใจเข้ามาเป็นกุศโลบายแห่งจิต(1ใน 40 กองกรรมฐาน)” แล้วควบไปกับ พุธธานุสาติ คือ เมื่อลมหายใจเข้า ก็ตั้งจิตว่ารู้ลมหายใจเข้า แล้วกำหนดว่าพุธ แล้วปล่อยลมหายใจออกรู้ว่าลมหายใจออก ภาวนาจิตต้ังให้รู้ว่าโธ ดังนี้ไปเรื่อย ๆ
ที่สำคัญคือ ไม่ต้องบังคับว่าจะต้องลมต้องเข้าหายใจเร็วหรือแรง แล้วปล่อยลมหายใจให้เร็วหรือสั้น เอาง่าย ๆ เคล็ดลับคือ หายใจเข้าได้แบบไหนก็ดูให้รู้ว่าได้เท่านี้แล้วก็ปล่อยออกตามธรรมชาติ วันนี้อาจจะปล่อยออกมาเร็วหรือช้าต่างกัน แต่พอทำไปเรื่อย ๆ นั้นจะปล่อยได้เองตามธรรมชาติจนเราลืมไปว่าเราไม่ได้บังคับมัน มันจะหายใจเข้าและหายใจออกเองแบบธรรมชาติของสมาธิ
“เมื่อทำได้แบบไม่บังคับ วันนี้ลมจะสั้น ก็ช่างมัน ฉันแค่รู้ว่าลมมันเคลื่อนเข้าไปจาก ปลายจมูก ผ่านหน้าอก ลงสู่ท้อง แล้วลมก็ออกมาเอง จากผ่านหน้าท้อง ผ่านหน้าอก ออกมาที่ปลายจมูก แล้วจะพบว่าไม่อึดอัดแล้ว ทำให้มีความสุขกับการนั่งได้มากขึ้น จิตเร่ิมไม่สนใจรอบข้าง จากนั่ง 5 นาทีแล้วรู้สึกว่าเคยนานจะรู้สึกว่าเหมือนแค่หลับตาแป้ปเดียวผ่านไปเร็ว ก็จะขยับไป20นาทีเอง จากนั้นก็จะไประดับชั่วโมงได้เอง
แต่ขอย้ำว่า ไม่ต้องสนใจว่าจะนั่งนาน หรือ สั้น เวลาจะผ่านไปแค่ไหน ให้รู้เพียงว่า จิตลงรวมในสมาธิ แล้วจะรู้สึกเหมือนกล่องเปล่า ๆ สงบ นี่คือ สมถะ
ถ้าเรามีสมถะ คือความที่จิตลงรวมอย่างสงบ มักจะเรียกสิ่งนี้ว่า ขณิกสมาธิ คือ จิตเร่ิมลงรวมสงบนิ่ง จากนี้ก็จะปฏิบิตต่อไปเป็นขั้นต่อไปคืออุปจารสมาธิ
อุปจารสมาธิ คืออะไร
อาการที่จิตจวนจะรวมเข้าสู่อัปปนา ซึ่งจะรวมแหล่มิรวมแหล่ แต่ไม่ฟุ้งซ่านสอดส่ายออกไปภายนอก ยึดเอาอารมณ์เป็นอุปาทานเครื่องถือมั่น จะละก็ไม่ใช่ จะเอาก็ไม่เชิง มีความลังเลเป็นสมุฏฐานอาการที่จิตจวนจะรวมเข้าสู่อัปปนา ซึ่งจะรวมแหล่มิรวมแหล่ แต่ไม่ฟุ้งซ่านสอดส่ายออกไปภายนอก ยึดเอาอารมณ์เป็นอุปาทานเครื่องถือมั่น จะละก็ไม่ใช่ จะเอาก็ไม่เชิง มีความลังเลเป็นสมุฏฐาน
เครดิตจากเพจ https://mgronline.com/dhamma/detail/9580000074829
สรุปสมาธิมีกี่ระดับ
แบบเบื้องต้นเพราะตามตำราแล้วจะมีลึกลงไปทำให้เราสับสนได้ ดังนั้นไม่ต้องกังวลสนใจระดับขอให้ปฏิบัติเรื่อย ๆ
สมาธิแบ่งออกเป็น 3 ระดับ
1. ขฌิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะ ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถนำมาใช้การงานในชีวิตประจำวัน เช่นใช้อ่านหนังสือ หรือขับรถ
ขณิกสมาธิ เหมือนเด็กที่เพิ่งหัดเดิน
ขณิก(ชั่วขณะ) + สมาธิ(ความทรงไว้พร้อม ความตั้งมั่น)
สมาธิที่เป็นไปชั่วขณะ หมายถึง เอกัคคตาเจตสิกที่เกิดกับจิต ที่เป็นไปตามปกติของบุคคลทั่วไป เช่น ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สัมผัส ขณะที่ยืน เดิน นั่ง นอนตามปกติ ก็มีขณิกสมาธิเกิดร่วมด้วย
2. อุปจารสมาธิสมาธิเฉียด ๆ หรือจวนจะแน่วแน่ อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่มากกว่าขณิกสมาธิ แต่แน่วแน่น้อยกว่า
อุปจารสมาธิเหมือนเด็กที่เดินได้คล่องและเร่ิมจะวิ่ง
เป็นสมาธิที่เริ่มเป็นหนึ่ง ข้อสังเกตง่ายๆ ของผู้ปฏิบัติสมาธิ คืออารมณ์กรรมฐานเริ่มเป็นหนึ่ง เสียงหรืออารมณ์ภายนอกไม่สมารถเข้ามารบกวน ให้อารมณ์กรรมฐานถอยออกมาง่าย
3. อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท เป็นการเจริญสมาธิในขั้นฌาน ถือเป็น ความสำเร็จสูงสุดของการเจริญสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป
อัปปะนาสมาธิของปฐมฌาน เปรียบดังเด็กที่วิ่งได้อย่างคล่องแคล่ว
หมายถึงหมดความรู้สึกไปชั่วขณะหรือเป็นขณะๆ หรือเป็นวัน ตามกำลังสมาธิและความชำนาญ
เครดิตจากเพจ https://dharayath.com
โดย admin | ก.พ. 14, 2024 | สมาธิ
อานาปานสติ นับว่าเป็นกองกรรมฐานที่สำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่อง และ พระฝ่ายกรรมฐาน หรือ สายพระป่า พระอาจารย์มั่น ก็ยกย่องส่งเสริมการฝึกเจริญสติสมาธิด้วย อานาปานสติ หรือ การดูลมหายใจ แต่มีหลักการและความสงสัยในการฝึกลม หายใจเข้าออกนั้น ทำให้ยังเกิดการติดขัดสงสัยต่อการฝึก
อานาปานสติ คืออะไร
อานาปานสติหมายถึงการมีความระลึกรู้ตัวในลมหายใจเข้าออก
อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก
ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้
ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ได้
ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้
อานาปานสติสูตร พระไตรปิฏก เล่ม ๑๔
อานาปานสติเกี่ยวข้องกับการนั่งสมาธิอย่างไร
สมาธิ แปลตามบาลีแปลว่า ความตั้งใจมั่น หรือ สมาธิในความหมายของพจนานุกรม แปลว่า ที่ตั้งมั่นแห่งจิต
ซึ่งตามจุดมุ่งหมายของการนั่งสมาธินั้นคือ การทำให้จิตสงบหรือ ที่เรียกว่า สมถะกรรมฐาน คือทำให้จิตสงบเสียก่อน เมื่อจิตสงบแล้วจะทำให้การโน้มไปสู่การเกิดปัญญาได้ตามลำดับของการนั่งสมาธิ คือ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และ สุดท้าย อัปณาสมาธิ ดังนั่งสมาธิที่เร่ิมต้นนั้นจะมีการนำสติเป็นเป็นเครื่องมือช่วยการละลึกให้รู้ตัว ในการนั่งสมาธิ และ นำมาใช้คู่กับ สติ(คือความระลึกได้) + สัมปะชัญญะ (คือความรู้ตัว)
อานาปานสติฝึกอย่างไร
อานาปาสติคือการฝึกดูลมหายใจเข้า และ หายใจออก และ มักจะใข้คู่กับ พุทธานุสติ หรือ ที่เรียกว่า การกำหนดรรู้ พุทโธ ซึ่งมีวิธีการเบื้องต้นดังนี้
- ฝึกให้รู้ลมเข้า เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการเร่ิมต้น โดยการเริ่มจาก ลมรู้ที่ปลายจมูก ผ่านเข้ามาที่หน้าอก และลงท้อง มักจะควบคู่กับ พุทธานุสติ คือ กำหนดลมเมื่อถึงท้อง ก็จะกำหนด พุธ
- ฝึกให้รู้ลมออก เป็นการปล่อยลมช้าตามสบายจากท้อง อก และ มาสิ้นที่ปลายจมูก แล้วกำหนด โธ
- ฝึกจนเคยชิน และดูลมอย่างนี้ไปเรื่อย แล้วจิตจะมีความสงสัยว่า มีอะไรต่อเห็นอะไรต่อ ก็ปล่อย เพราะจิตกำลังจะเกิดความสงสัยที่มาจากนิวรณ์ ทำให้สมาธิไม่สงบ คิดโน่นคิดนี่
- การกำหนดลม ไม่ต้องสนใจว่าจะเร็ว หรือ ช้า หายใจแบบไหนก็กำหนดรู้ไปเรื่อยๆ เพราะจะทำให้เราฟุ้งซ่าน แค่รู้ว่าลมเข้าและลมออก เดี๋ยวจิตจะพัฒนาการรู้ลม ไม่อึดอัด เดินลมสะดวก และมีผลการการนั่งอย่างสงบใจ
- ฝึกบ่อย จนจิตชิน จะทำให้เกิด ขณิกสมาธิขฌิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะ ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถนำมาใช้การงานในชีวิตประจำวัน เช่นใช้อ่านหนังสือ หรือขับรถขณิกสมาธิ เหมือนเด็กที่เพิ่งหัดเดินขณิก(ชั่วขณะ) + สมาธิ(ความทรงไว้พร้อม ความตั้งมั่น)
ขอบคุณจากเพจ https://dharayath.com/
โดย admin | ม.ค. 27, 2024 | ธรรมะน่าสนใจ, สมาธิ
สมาธิ เป็นการรวบรวมสภาวะจิตใจให้แน่วแน่ และเป็นหนึ่งในวิธีฝึกจิตให้นำไปสู่ความสงบ ที่เรียกว่า สมถะ คือทำใจห้สงบก่อนแล้วจิตจะพัฒนาสู่การเห็นความเป็นจริงตามวิปัสนา
หลายท่านกำลังฝึกการนั่งสมาธิ และฝึกมาหลายที่ จนทำให้งง ว่าตกลงแล้วต้องเร่ิมตรงไหนทำอย่างไรก่อน แล้วดูลมหายใจ พุทโธ จะเร่ิมอย่างไรกับสมาธิ บทความนี้มีมาฝากรับรอง ไม่หลงเพราะทำตาม ครูอาจารย์ที่ท่านได้ปฏิบัติดี
หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง ท่านได้ให้ไว้ คือ ทำจิตให้สงบเสียก่อน ที่เราเรียกว่า สมถะ ความสงบอยู่ที่เรา ไม่ได้อยู่ที่สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ควบไปกับ ลมหายใจ อานาปณสติ ไม่ต้องสนใจใด ๆ ให้รู้อย่างเดียว ไม่ต้องไปบังคับ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ทำไปเรื่อย ๆ จะพัฒนาขึ้นเอง
แล้วจะเห็นความอัศจรรย์จากจิตที่สงบ นัตถิ สันติ ปะรัง สุขขัง ไม่มีสุขใดเหนือกว่า ความสงบ
สมาธิ คืออะไร
สมาธิ (บาลี: Samādhi; สันสกฤต: समाधि) หมายถึงความสำรวมใจให้แน่วแน่เพื่อให้จิตใจสงบหรือเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง[1]
การทำสมาธิมีปรากฏในหลายศาสนา เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู และลัทธิเต๋า และยังคงรวมถึงสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา เช่น โยคะ
เครดิตเพจ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4
การสำรวมภาวะของจิตใจ ให้แน่วแน่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อทำให้จิตใจมีความนิ่งเงียบสงบ และนำไปสู่การเกิดสติปัญญา มักจะเรียกควบคู่ว่า สติสัมปชัญญะ (สติคือ ความรำลึกได้ สัมปรัญญะคือความรู้ตัว) สมาธิต้องอาศัยจิตเข้ามารู้ตัวสมาธิ แปลตามบาลีแปลว่าอะไร
สมาธินั้น ตามบาลีนั้นแปลว่า ความตั้งใจมั่น การทำสมาธิในทางพุทธศาสนา เรียกว่าสมถะ
สมาธิแบ่งออกเป็น 3 ระดับ
1. ขฌิกสมาธิ
คือ สมาธิชั่วขณะ ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถนำมาใช้การงานในชีวิตประจำวัน เช่นใช้อ่านหนังสือ หรือขับรถขณิกสมาธิ เหมือนเด็กที่เพิ่งหัดเดินขณิก(ชั่วขณะ) + สมาธิ(ความทรงไว้พร้อม ความตั้งมั่น)สมาธิที่เป็นไปชั่วขณะ หมายถึง เอกัคคตาเจตสิกที่เกิดกับจิต ที่เป็นไปตามปกติของบุคคลทั่วไป เช่น ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สัมผัส ขณะที่ยืน เดิน นั่ง นอนตามปกติ ก็มีขณิกสมาธิเกิดร่วมด้วย
2. อุปจารสมาธิ
สมาธิเฉียด ๆ หรือจวนจะแน่วแน่ อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่มากกว่าขณิกสมาธิ แต่แน่วแน่น้อยกว่าอุปจารสมาธิ เหมือนเด็กที่เดินได้คล่องและเร่ิมจะวิ่งเป็นสมาธิที่เริ่มเป็นหนึ่ง ข้อสังเกตง่ายๆ ของผู้ปฏิบัติสมาธิ คืออารมณ์กรรมฐานเริ่มเป็นหนึ่ง เสียงหรืออารมณ์ภายนอกไม่สมารถเข้ามารบกวน ให้อารมณ์กรรมฐานถอยออกมาง่าย
3. อัปปนาสมาธิ
สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท เป็นการเจริญสมาธิในขั้นฌาน ถือเป็น ความสำเร็จสูงสุดของการเจริญสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไปอัปปะนาสมาธิของปฐมฌาน เปรียบดังเด็กที่วิ่งได้อย่างคล่องแคล่วหมายถึงหมดความรู้สึกไปชั่วขณะหรือเป็นขณะๆ หรือเป็นวัน ตามกำลังสมาธิและความชำนาญ

สมาธิ นั้นต้องทำสมะ หรือ วิปัสสนา ก่อน ทำอะไรก่อนกันแน่
เป็นคำถามที่พบเจอบ่อยมากกับผู้ที่ฝึกสมาธิ
เพราะ อาจารย์นั้นบอกอย่างนั้น อาจารย์นี้บอกอย่างนี้ คนนั้นบอกให้ทำสมถะก่อน บางคนบอกว่าทำ วิปัสนาเลย ทำให้เกิดความลังเล
ถ้าโดยพื้นฐานตามปกติ เบื้องต้นแล้ว ควรทำให้เกิดจิตที่เป็นสมถะ หรือ ให้จิตสงบนิ่ง ให้ได้ก่อน เพราะคนเรามีสติปัญญา และ วาสนา(บุญของเก่า) ไม่เท่ากัน
เพราะบางคนมีจิตที่สงบและเป็นสมาธิง่าย หรือ มีจิตที่เข้มเข้มมาตั้งแต่เดิม ลองนึก บางคนกกลัวงู แต่บางคนไม่กลัวงู บางคนจับจิ้งจกได้ แต่บางคนกลัวจิ้งจก จะเห็นได้ว่าพื้นฐานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้น ถ้าจะให้เร่ิมขั้นต้นได้ง่ายไม่ต้องไปคิดอะไรมากว่าอ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็ให้กำหนดรู้ว่า ไม่เข้าใจ และทำเดินสมาธิต่อไป นั่งดูให้จิตเป็นสมถะ พอจิตนั่งแล้ว การจะเข้าไปดูวิปัสนากรรมฐาน ก็จะเห็นชัดได้ง่าย ไม่สงสัยลังเลย
การฝึกสมาธิเบื้องต้นทำอย่างไร
การฝึกสามาธิที่นิยมคือ อานาปานสติ คือ กำหนดจิตให้ตั้งมั่นใน ลมหายใจ กำหนดรู้เข้า หายใจออก กำหนดให้รู้ลมหายใจออก เมื่อลมผ่านที่ปลายจมูกเข้ามาให้กำหนดรู้ ค่อยปล่อยผ่านลงท้อง ไม่ต้องไปบังคับมันว่าลมต้องผ่าน ได้เท่าไหนก็ปล่อยลงไปถึงตรงนั้น ถ้าให้ดีค่อย ๆปล่อยถึงท้อง โดยผ่านลงมาจากหน้าอกสู่ท้อง หรือบางครั้งหลายท่านมักเรียกว่า กำหนดลมมาที่สะดือ แล้วปล่อยลมออก มาที่ปลายจมูก รับรู้อย่างนี้เรื่อยไป ไม่ต้องเร่งรีบ ได้เท่าไหนทำเท่านั้น เดี๋ยวจิตจะพัฒนาความรู้สึกไปเรื่อย ไม่ต้องไปบังคับ ปล่อยตามสบายให้ เน้นว่า รู้เท่านั้น ว่าลมเข้ามาแล้ว และลมออกมาแล้วที่ปลายจมูก
นั่งสมาธิกำหนดกายนั่งอย่างไร
ตั้งกายให้ตรง สติให้ตั้งมั่น แล้วกำหนดรู้ลม เน้นยำ เอาแค่กำหนดรู้ลม ไม่ต้องไปบังคับ เพราะจิตมนุษย์มันจะชอบท่องเที่ยว พอหลับตาก็จะเหมือนลิงกระโดดไปตามต้นไม้ต่าง ๆ จึงแนะนำว่าให้กำหนดรู้ ถ้าจิตส่งออกไปข้างนอกคิดถึง คนโน้น คนนี้ ก็ปล่อยมัน แล้วพอรู้ตัว ก็มานั่งดูลมหายใจใหม่ ทำอย่างนี้เรื่อยไป สักระยะ จิตจะเร่ิมอยู่กับที่ที่ลมหายใจ จึงเร่ิมเข้าสู่ สมาธิที่เกิดตามระดับต่าง ๆ
เครดิต จากบทความ https://dharayath.com/