ฌาน 4 คืออะไร จากปฐมฌานสู่จตุตถฌานของจิต

ฌาน 4 คืออะไร จากปฐมฌานสู่จตุตถฌานของจิต

เมื่อจิตเพ่งสมาธิ จนสงบสู่ ในอัปปณาสมาธิแล้ว จะมีความสงบตามลำดับ สำหรับผู้ที่ปฏิบัติสมาธิ จะเริ่มเห็นตามลำดับขั้นตอนของการปฏิบัติ ของ ฌาน 4 ซึ่งจัดได้อยู่ในรูปฌาน  ซึ่งบางครั้งหลายท่านได้อ่านมาก็จะมี ฌาน 8 ด้วย  ซึ่งเป็นการแบ่งของฌาน

ฌาณ คืออะไร

ฌาน คืออะไร คลิกอ่าน

ฌาณ คืออะไร

ลักษณะภาวะของจิต ที่สงบจากการปฏิบัติสมาธิ ภาวนา เพ่งจิตสมาธิจนเป็น อัปปณาสมาธิ 

อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท เป็นการเจริญสมาธิในขั้นฌาน ถือเป็น ความสำเร็จสูงสุดของการเจริญสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป

อัปปะนาสมาธิของปฐมฌาน เปรียบดังเด็กที่วิ่งได้อย่างคล่องแคล่ว

เมื่อนั่งสมาธิตามลำดับหลังจากที่ได้ฝึกปฏิบัติจนแน่ว และมาตามลำดับตั้งแต่

  1. ขณิกสมาธิ การนั่งสมาธิที่เริ่มต้น จิตเริ่มเป็นสมาธิ แต่ก็ตั้งได้เดี๋ยวเดียวก็ จะนึึกถึงอย่างอื่น ๆ แต่ก็จะกลับมารู้สึกตัวได้ง่าย ลักษณะจิตเหมือน เด็กที่กำลังตั้งไข่
  2. อุปปจารสมาธิ มีอารมณ์กับความแน่วแน่มาขึ้น เริ่มเฉียด ๆ ฌาน เปรียบเหมือน เด็กนั้นเริ่มเดินได้คล่องแคล่ว หลังจากที่พ้นจากวัยตั้งไข่ แต่ยังวิ่งไม่คล่อง
  3. อัปปณาสมาธิ มีอารมณ์ที่ลงร่วมเพ่งในความสงบเป็นที่ตั้งและเกิด ฌาน

หลังจากได้หรือปฏิบัติจนถึง อัปปณาสมาธิ ก็จะทำให้จิตมีความสงบเป็นอารมณ์นิ่ง  ที่เรียกว่า เข้าสู่ ฌาน ซึ่งมีดังต่อไปนี้

ฌาน 4 คืออะไร

ฌาณ 4 คืออะไร

1) ฌาน 1 ปฐมฌาน (วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา) โดยใช้คำภาวนาและพิจารณาในขันธ์ 5 หรือกำหนดลมหายใจเข้าออก เพื่อให้จิตทรงตัว

2) ฌาน 2 ทุติยฌาน (ปิติ สุข เอกัคคตา) โดยคำภาวนาจะหายหรือหยุดไปเอง ไม่มีวิตกวิจาร แต่จะมีจิตใจชุ่มชื่น ลมหายใจเบาสบาย มีแต่ปีติ และเอกัคตารมณ์ คือ มีอารมณ์เป็นหนึ่งและทรงตัวมากขึ้น

3) ฌาน 3 ตติยฌาน (สุข เอกัคคตา) ลมหายใจจะเบามากและความอิ่มเอิบหายไป เหลือแต่ความสุขเยือกเย็น โดยจิตทรงตัวมาก อารมณ์ไม่เคลื่อนไหว ได้ยินเสียงภายนอกเบาลง และการทรงตัวแน่นสนิท

4) ฌาน 4 จตุตถฌาน (อุเบกขา เอกัคคตา) คือการตัดสุขได้ ไม่รับการสัมผัสทางจิตใจไม่มีความรู้สึก ทั้งจากเสียง ลม ยุ่งกัด เหลือแต่เอกัคตาพร้อมด้วยอุเบกขา ซึ่งฌานขั้นนี้เป็นอาการทางจิตที่ทรงตัวสมาธิดี มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีความสว่างไสวในจิต หากสามารถฝึกให้จิตทรงตัวอยู่ตลอดเวลา ก็จะนำไปสู่การเกิด “ทิพจักขุญาณ” ตามมาได้โดยง่าย

เครดิต https://www.moe.go.th/%E0%B8%8C%E0%B8%B2%E0%B8%99-4/

การแบ่งประเภทของฌาน

เมื่อเราศึกษาตามตำราจะพบกับคำว่า ฌาน 8 บ้าง หรือ ฌาน 4 บ้าง อาจจะทำให้กังวลและสับสน(จากตัวนิวรณ์ได้ คือ ความสงสัย)

ประเภทของฌาน มักแบ่งฌานออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ

รูปฌาน ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ ฌานที่เป็นรูปาวจร ได้แก่

  • ปฐมฌาน ( ฌานที่ 1 ) ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา
  • ทุติยฌาน ( ฌานที่ 2 ) ประกอบด้วย ปิติ สุข เอกัคคตา
  • ตติยฌาน ( ฌานที่ 3 ) ประกอบด้วย สุข เอกัคคตา
  • จตุตถฌาน ( ฌานที่ 4) ประกอบด้วย อุเบกขา เอกัคคตา

อรูปฌาน ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ ฌานที่เป็นอรูปาวจร ได้แก่

  • อากาสานัญจายตนะ (มีความว่างเปล่าคืออากาสไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์)
  • วิญญาณัญจายตนะ (มีความว่างระดับนามธาตุคือความว่างในแบบที่อายตนะภายนอกและภายในไม่กระทบกันจนเกิดวิญญาณธาตุการรับรู้ขึ้นเป็นอารมณ์)
  • อากิญจัญญายตนะ (การไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์)
  • เนวสัญญานาสัญญายตนะ (จะว่ามีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ คือแม้แต่อารมณ์ว่าไม่มีอะไรเลยก็ไม่มี)

เครดิต https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8C%E0%B8%B2%E0%B8%99

 

 

โลกธรรม 8 คืออะไร ธรรมชาติของมนุษย์ที่ครอบงำสัตว์โลก

โลกธรรม 8 คืออะไร ธรรมชาติของมนุษย์ที่ครอบงำสัตว์โลก

ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมมีจิตพื้นฐานจากกิเลส และ กรรมมาเป็นของดั้งเดิม โลกธรรม 8 เป็นอีกหนึ่งหลักธรรมที่อธิบายให้รู้ถึงความเป็นธรรมดาของโลกกับมนุษย์ที่มีนิสัยติดตัวมา  เมื่อเรารับรู้แล้ว ก็ทำความเข้าใจเพื่อให้ปล่อยวางและปล่อยให้มันเป็นไป จะได้จากโลกนี้ไปโดยไม่ต้องติดค้างหรือเข้าไปยึดให้จิตทุกข์

โลกธรรม 8 คืออะไร

โลกธรรมทั้ง8นั้น  หมายถึง ธรรมดาของโลก เรื่องของ ธรรมชาติของโลกที่ครอบงำสัตว์โลก และต้องเป็นไปตามนี้ โดยมี 8 ประการอันประกอบด้วย

โลกธรรม 8

โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ คือ พอใจของมนุษย์ เป็นที่รักเป็นที่ปรารถนา

  1. ลาภ หมายความว่า ได้ผลประโยชน์ ได้มาซึ่งทรัพย์
  2. ยศ หมายความว่า ได้รับฐานันดรสูงขึ้น ได้อำนาจเป็นใหญ่เป็นโต
  3. สรรเสริญ คือ ได้ยิน ได้ฟัง คำสรรเสริญคำชมเชย คำยกย่อง เป็นที่น่าพอใจ
  4. สุข คือ ได้ความสบายกาย สบายใจ ความเบิกบาน บันเทิงใจเริงใจ

โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ คือ ความไม่พอใจของมนุษย์ ไม่เป็นที่ปรารถนา

  1. เสื่อมลาภ หมายความว่า เสียลาภไป ไม่อาจดำรงอยู่ได้
  2. เสื่อมยศ หมายถึง ถูกลดอำนาจความเป็นใหญ่
  3. นินทาว่าร้าย หมายถึง ถูกตำหนิติเตียนว่าไม่ดี ถูกติฉินนินทา หรือถูกกล่าวร้ายให้เสียหาย
  4. ทุกข์ คือ ได้รับความทุกขเวทนา ทรมานกาย ทรมานใจ

เครดิต https://th.wikipedia.org/wiki/

 

คลิกอ่าน ธรรมะ ดีๆ จาก ท่านเจ้าคุณนร เรื่อง โลกธรรมทั้ง 8

เจ้าคุณนรรัตน์

“…คนเราเมื่อมีลาภ ก็เสื่อมลาภ
เมื่อมียศ ก็มีเสื่อมยศ
เมื่อมีสรรเสริญ ก็มีนินทา
เป็นของคู่กันมาเช่นนี้
จะไปถืออะไรกับปากมนุษย์
ถึงจะดีแสนดี … มันก็ติ
ถึงจะชั่วแสนชั่ว… มันก็ชม
นับประสาอะไร
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเลิศยิ่งกว่ามนุษย์ เทวดา
ยังมีมารผจญ ยังมีคนนินทาติเตียน
ปุถุชนอย่างเราจะรอดพ้นจากโลกะธรรม
ดังกล่าวแล้วไม่ได้
ต้องคิดเสียว่า
เขาจะติ .. ก็ช่าง
เขาจะชม..ก็ช่าง
เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ
ก่อนที่เราจะทำอะไร
เราคิดแล้วว่าไม่เดือดร้อนแก่ตัวเรา
และคนอื่น .. เราจึงทำ
เขาจะนินทา.. ว่าร้าย อย่างไร ก็ช่างเขา
บุญเราทำ กรรมเราไม่สร้าง
พยายามสงบกาย สงบวาจา สงบใจ
ใยจะต้องไปกังวล กลัวใครจะติเตียนทำไม

ม่เห็นมีประโยชน์
เปลืองความคิดเปล่า ๆ..”

(ธรรมะท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต)
วัดเทพศิรินทราวาส กทม.

ขันธ์ 5 คืออะไร กองทุกข์ของการเกิดดับ ยึดมั่น ถือมั่น

ขันธ์ 5 คืออะไร กองทุกข์ของการเกิดดับ ยึดมั่น ถือมั่น

ทุกข์ จากการที่มีใน ขันธ์ 5 เป็นหนึ่งในอริยสัจสี่ที่ทำให้เกิดความเข้าใจในสัจธรรม เพราะทุกข์เหล่านั้นไม่ได้ไปไหน มันอยู่ในตัวเราซึ่งตัวเรา ซึ่งตัวเราที่ประกอบเป็นคนนั้น นับได้ว่ามาจากการมี กองขันธ์นี้แหละที่ทำจิตนั้นเข้าไปยึดมั่นถือมั่นมาไม่รู้จักจบจักสิ้น เกิดเป็นวัฏสงสารไม่มีที่สิ้นสุด  การที่เราเข้าใจในอริยสัจ 4 แล้ว การดับทุกข์ทั้งหลายก็จะนำไปสู่การถอนออกจาก กองขันธ์นี้ ซึ่งหลายท่านอาจจะทรายความหมาย แต่อาจยังไม่เข้าใจว่ากองทุกข์นี้คืออะไร และ มีการแบ่งกองทุกข์นี้ออกมาอย่างไรบ้าง

อริยสัจ 4

อ่านเพิ่มเติมบทความสาระหน้ารู้ อริยสัจ 4  คืออะไร

ขันธ์ 5 คืออะไร และ มีอะไรบ้าง

ขันธ์ แปลว่า ตัว, หมู่, กอง, พวก, หมวด ในทางพุทธศาสนาหมายถึงส่วนหนึ่งๆ ของรูปกับนามที่แยกออกเป็น 5 กอง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ  ได้แก่

  1. รูป เป็นสภาพไม่รู้ มีทั้งหมด 28 รูป แบ่งเป็น อุปาทยรูป 24 รูป และมหาภูตรูป 4 รูป
  2. เวทนา เป็นความรู้สึก มีทั้งหมด 5 เวทนา คือ สุขกาย สุขใจ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ อุเบกขาทางใจ
  3. สัญญา เป็นความจำได้ ความรู้จำสิ่งที่ปรากฏได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความรู้สึกได้ทางใจ คือ เวทนา สัญญา สังขาร
  4. สังขาร เป็นการปรุงแต่งจิตให้จิตมีอารมณ์และกิริยาหลากหลาย มีทั้งหมด 50 สังขาร
  5. วิญญาณ เป็นสภาพรับรู้ มีทั้งหมด 6 ทวาร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

 

เครดิต https://th.wikipedia.org/wiki/

ขันธ์ แบ่งออกเป็น รูป 1 นาม 4 ดังนี้

รูป 1 ได้แก่ กาย หรือ รูป

นาม 4 ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

อธิบายเรื่องกองทุกทั้ง 5 ได้ดังนี้

กองที่ 1  รูปขันธ์หรือกาย 

ขันธ์ 5

คือ รูปร่าง หรือร่างกายของเรานี้เอง ที่จับต้องได้ เป็นการรวมตัวของธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาเป็นร่างกายที่มี เส้นผม กระดูก เนื้อหนัง น้ำเหลือง เลือดเนื้อ ต่าง ๆ

 

กองทุกข์ที่ 2 ได้แก่ สัญญา

ขันธ์ 5

คือ ความจำได้ การบันทึกลงในความทรงจำต่าง  ๆ ว่าสิ่งไหนคืออะไร  เป็นอะไร จำได้ว่าสิ่งนี้สีอะไร  เช่น เราจำหน้าคนรักของเราได้ว่าคนนี้คือใคร หน้าตารูปร่างแบบนี้ คือ จำได้ว่าคนนี้คือใคร

กองทุกข์ที่ 3 ได้แก่ เวทนา

ขันธ์ 5

การรับอารมณ์จากการปรุงแต่ง ว่า รู้สึกแย่ รู้สึกดี สบายใจ หรือ แม้แต่รู้สึกว่า เฉยๆ  สรุปแบบเข้าใจสั้น ๆ ได้แก่ อารมณ์ต่าง  ๆ ที่นำมารับรูั

กองทุกข์ที่ 4 ได้แก่ สังขาร

ขันธ์ 5 (6)

การปรุงแต่งต่าง ๆ และมักจะเข้าใจผิดว่า ร่างกายคือสังขาร แต่แท้จริงแล้ว สังขารเป็นการปรุงแต่ทางการรับรู้จากตัวขันธ์ เช่น เป็นผู้หญิงเราก็จะรับรู้จาก รูปว่า รูปร่างแบบนี้่คือผู้หญิง เพราะมาจากสัญญา ว่าร่างกายแบบนี้เรียกว่า ผู้หญิง   ต่อมาก็ปรุงแต่งว่า หน้าตาดี หรือ ไม่ดี แล้วรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ การปรุงแต่งเหล่านี้ เราจึงเรียกว่า สังขาร

กองทุกข์กองที่ 5 ได้แก่ วิญญาณ

ขันธ์ 5

ตัวรับรู้ถึงความรู้สึกรับอารมณ์ ผ่านทางอายตนะภายในได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น กายและใจ  ตัวอย่างเช่น เราเห็นผู้หญิงสวยแล้วรู้สึกว่าชอบ อธิบายได้ดังนี้คือ วิญญาณทางตา รับรูปเข้ามา ผ่านเข้ามาสัญญา ว่า รูปร่างแบบนี้ สวย แล้วเกิดความปรุงแต่งว่า ชอบ หรือสังขาร    ทำให้เกิดคิดถึง อารมณ์รักใคร่ อยากได้ ทำให้เกิดเวทนา  แล้วนำมาสู่ตัวรับรู้ สุดท้ายคือ จิต

 

ดังนั้น กองทุกข์ตัวนี้ไม่ได้อยู่ที่ใคร แต่อยู่ที่เรา ถ้าเราเข้าไปยึดมั่น หรือ อุปทาน ก็จะทำให้เกิดความทุกข์ เพราะทุกอย่างล้วนแล้วอยู่กฏภายใต้ ไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน และ ทุกขัง

ตัวอย่าง ร่างกายเราอย่างไรก็ต้องแก่ เหี่ยวย่น ต่างจากวัยเด็ก  ทำให้การยึดมั่นว่า ไม่อยากแก่ กลัวไม่สวย ทั้งที่สัจธรรมที่เราหนีไม่ได้ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ด้วยความที่มีกิเลสในการยึดมั่นในขันธ์นี้ จะทำให้พยายามหนีแต่สุดท้ายก็จะหนีไม่พ้นความจริง ว่า เราจะต้องยอมรับว่า เราจะต้องแก่และตายไปในที่สุด ทำให้การปรุงแต่งเหล่านั้นมีเพียงแค่เกิดขึ้นแล้วเราก็เฝ้าดู มัน  แล้วก็ปล่อยมันไปจากจิต  เพื่อให้นำความทุกข์ออกจากจิตใจของสัตว์โลก

 

อิทธิบาท 4 คืออะไร หลักธรรมแห่งความสำเร็จ

อิทธิบาท 4 คืออะไร หลักธรรมแห่งความสำเร็จ

หลักธรรมแห่งความสำเร็จในการจะปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น คือ อิทธิบาท 4 ซึ่งสำหรับผู้ที่ปฏิบัติแล้วการทำอิทธิสี่นำมาร่วมพิจารณาในการปฏิบัติธรรม เพราะหลักธรรมนี้จัดได้ว่า เป็นหลักธรรมหนทางแห่งความสำเร็จ หรือกล่าวง่าย ๆ ว่า หลักแห่งหนทางนำประสู่ความสำเร็จ ยังมีหลักธรรมอื่นอีกที่นำมาควบคู่ในการปฏิบัติด้วย เช่น พละ5 หรือกำลังทั้ง 5

หลักธรรม พละ 5 คืออะไร (อ่านเพิ่มเติม)

พละ 5 คืออะไร

สำหรับผู้ที่ปฏิบัติย่อมเกิดการท้อถอย หรือ เกิดความท้อในการปฏิบัติ เป็นเรื่องที่เกิดได้ง่าย หรือ สำหรับผู้ดำรงชีวิตประจำวันที่จะต้องทำงาน ให้ประสบความสำเร็จให้ได้ ก็สามารถนำหลักธรรมมาร่วมพิจารณาในการปฏิบัติในการทำงานและดำรงชีวิตให้ผ่านอุปสรรค

อิทธิบาท 4 คืออะไร

หมายถึงหรือ คือ หนทางสู่ความสำเร็จ บรรลุเป้าหมาย เครื่องให้ถึงไปสู่ความสำเร็จ หรือ ทางแห่งความสำเร็จ หลักธรรม หลักแห่งคุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จ มี 4 ประการ ดังนี้

ฉันทะ (ความพอใจ)

คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะทำให้ ได้ผลดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้มีการความคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญ อิทธิบาท อันประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร ดังนี้ ว่าฉันทะของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป ไม่หดหู่ในภายใน ไม่ฟุ้งซ่านไปในภายนอก และเธอมีความสำคัญในเบื้องหลังและเบื้องหน้าอยู่ว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้น เบื้องหลังฉันใด เบื้องหน้าก็ฉันนั้น เบื้องล่างฉันใด เบื้องบนก็ฉันนั้น เบื้องบนฉันใด เบื้องล่างก็ฉันนั้น กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เธอมีใจเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรม จิตใจให้สว่างอยู่.

วิริยะ (ความเพียร)

คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย

ภิกษุย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมาธิและปธานสังขาร ดังนี้ว่า วิถานะยะของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป … ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรมจิตให้ สว่างอยู่.

 

จิตตะ (ความคิด)

คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ และทำสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป

ภิกษุย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยจิตตสมาธิและปธานสังขาร ดังนี้ว่า จิตของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป … ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรมจิตให้สว่างอยู่.

 

วิมังสา (ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง)

คือ หมั่นใช้ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น

ภิกษุย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิมังสาสมาธิและปธานสังขาร ดังนี้ ว่า วิมังสาของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป ไม่หดหู่ในภายใน ไม่ฟุ้งซ่านไป ภายนอก และเธอมีความสำคัญในเบื้องหลังและเบื้องหน้าอยู่ว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉัน นั้น เบื้องหลังฉันใด เบื้องหน้าก็ฉันนั้น เบื้องล่างฉันใด เบื้องบนก็ฉันนั้น เบื้องบนฉันใด เบื้องล่างก็ฉันนั้น กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เธอมี ใจเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรมจิตให้สว่างอยู่.

เครดิต https://th.wikipedia.org/wiki/

การนำหลักธรรมอิทธิบาท4นี้ไปใช้อย่างไรในชีวิตประจำวัน

การนำหลักอิทธิบาทที่นำมาปรับไว้ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างที่พบได้มาก คือ การดำเนินชีวิตด้วยการงานเพื่อเลี้ยงชีวิตให้ผ่านพ้นอุปสรรค

ฉ้นทะ คือความพึงพอใจในงานที่ปฏิบัติให้ลุล่วงไปด้วยดี  เป็นการทำความเข้าใจในเนื้องานว่างานที่ทำนั้นจะต้องมีเป้าหมายอย่างไร

วิริยะ คือ ความไม่ท้อถอยต่อปัญหาอุปสรรคในการทำงาน

จิตตะ คือ การไม่ฟุ้งซ่าน ไม่นำจิตออกไปจากงานในขณะที่ทำอย่างตั้งใจ เช่น ขณะทำงานให้มีสมาธิจิตจดจ่อที่การกระทำ ไม่ฟุ้งซ่านใจลอยออกไป เพื่อทำงานไม่เกิดความผิดพลาด

วิมังสา คือ การหาสาเหตุของอุปสรรคนั้นของการทำงาน วางแผน เพื่อนำไปเป็นการหาหนทางและวางแผนแก้ไข อย่างเป็นระบบ

ผ้าไตร สีราชนิยม หรือ ผ้าไตรสีพระราชทาน มีลักษะอย่างไรบ้าง

ผ้าไตร สีราชนิยม หรือ ผ้าไตรสีพระราชทาน มีลักษะอย่างไรบ้าง

ผ้าไตร สีราชนิยม หรือ ผ้าไตรสีพระราชทาน เป็นสีที่มีความเป็นกลางเพราะสามารถนำไปใช้ได้กับพระสงฆ์ที่สังกัดในนิกายธรรมยุตและ มหานิกาย ดังนั้นการเลือกสีผ้าไตรจีงสำคัญ เพราะเมื่อผู้ที่ต้องการนำผ้าไตรจีวรไปถวายเพื่อทำบุญนั้น จำเป็นต้องรู้ก่อนว่าพระสงฆ์นั้นท่านสังกัดนิกายอะไร จะได้จัดซื้อได้ตรงกับความต้องการ  และสีได้อย่างถูกต้อง สำหรับผู้ที่ต้องการนำไปทำบุญถวายพระและอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับ หรือ แก้กรรมตามความเชื่อ

 

ผ้าไตร สีราชนิยม มีลักษณะอย่างไร 

ในประเทศไทยมีพระสงฆ์อยู่สองฝ่าย นุ่งห่มจีวรสีต่างกัน มีหลักๆ คือ

ผ้าไตร สีราชนิยม

 

ผ้าไตรจีวร ในปัจจุบันมีหลายสีด้วยกัน แต่ละวัดก็ใช้สีที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการกำหนดของแต่ละวัด ปัจจุบันสีที่นิยม และพบได้มาก ประกอบก้วย 6 สี ได้แก่

  1. สีทอง หรือ สีเหลือส้ม ปัจจุบันเป็นสีเนื้อผ้าที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ตามวัดต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ
  2. สีพระราชทาน หรือ สีพระราชนิยม ส่วนมากเป็นสีที่พบมากและส่วนมากพระจะนิยมครองผ้าสีนี้ในงานพิธีต่างๆ
  3. สีแก่นบวช เป็นสีที่พบมากเช่นเดียวกันในหมุ๋ซํโ)ษ?ฒ๊๕ซษฒฌ๕ณ๋.๕ณํโ
  4. สีแก่นขนุน เป็นสีที่พบในวัดสำคัญๆ เช่น วัดบวร วัดสังฆทาน วัดหนองป่าพง และสายวัดป่า เป็นต้น
  5. สีกรัก หรือสีอันโกโซน/สีน้ำหมาก ซึ่งพบเห็นได้ตามวัดป่า พระที่ครองสีนี้ เช่น ฟลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโร เจ้าอาวาสวัดศรีนวลธรรมวิมล เป็นต้น
  6. สีกวักพิเศษ หรือสีครูบา เป็นสีที่สามารถพบเห็นได้น้อย และใชช้กันแฉพาะบางวัดเท่านั้น โดยส่วนมากแล้ว

เครดิตเพจ https://dharayath.com/

 

Pin It on Pinterest